หลังจากการปูทางเล็กๆ ในเรื่องของ Elliott Wave ...ลองมาดูราคาของ Sugar ว่าตอนนี้มันอยู่ใน Wave ไหน
(จากภาพ)
เราจะเห็นได้ว่า ในความเป็นจริง การใช้ Elliott Wave มันไม่ใช่ Wave ชั้นเดียว แต่มันซ้อนกัน(หลายชั้น) ..
"ในช่วงของภาพเล็ก (Wave ระยะสั้น)..ที่เริ่มจากปี 2009 มันจบรอบของ Cycle จึงกำลังเข้าขาลงในเวลานี้ ..(แต่มันไม่ได้เป็นการลงเพื่อลง แต่มันเป็นการลง correction เพื่อที่จะขึ้นต่างหาก!!)"
"ในช่วงของภาพใหญ่ (Wave ใหญ่) ..ที่เริ่มนับหนึ่งที่ปี 2006 ตอนนี้กำลังลง 2 เพื่อขึ้น Wave ที่ 3 ---ถ้ามองตามการนับ Wave ของหยง จะเห็นได้ว่า ในภาพระยะกลางถึงยาว น้ำตาลกำลังจะขึ้นอีก "มหาศาล!!"
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาเริ่มจากช่วงนั้นที่ราคาน้ำตาลถูกแบบสุดๆต่ำกว่า (10 c/lb.)จากนั้นราคาก็วิ่งขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ Wave ที่ 3 ยังไม่จบ(ราคาน้ำตาลอยู่แถวๆ 20 c/lb. ในตอนนี้ )
--- ซึ่งราคา peak ที่สุดของ Sugar อยู่ที่เกือบ 50 c/lb.ตอนปี 1974 ..ล่าสุดที่ Peak คือปี 2010 คือราคาขึ้นไปแตะ 27 c/lb. --แต่ถ้าวิเคราะห์ตาม Elliott Wave จะมองได้ว่ารอบใหญ่เที่ยวนี้ เราจะเจอน้ำตาลแพงแบบสุดๆในไม่ช้านี้) ....(ภาพใหญ่ของ Sugar คือ"ขึ้นอย่างใหญ่" หรือ ที่เรียกว่า "Grand Super cycle")
แต่ปัญหาของเรื่อง Commodity อย่างน้ำตาล มันเป็นการเล่นที่ Future (ความเสี่ยงจึงคล้ายๆกับการซื้อขาย Gold Future ที่แต่ละสัญญาที่ซื้อจะมีวันหมดอายุ ดังนั้น คุณไม่สามารถ ถือจนวันสิ้นโลก เหมือนอย่างหุ้นได้!!)...การซื้อ Commodity จึงเป็นการซื้อขายเป็นช่วงเวลาขึ้นอยู่กับเวลาของการส่งมอบ "ซึ่งเป็นประเด็นที่นัก Trade Commodity ต้องทำความเข้าใจ เพราะมันส่งผลกระทบในเรื่องของราคา")
(เวลาหมดสัญญาของแต่ละ Contract ถ้าเราไม่ Roll over คุณก็ต้องไปรับของ "อ่าฮ่า!!" ..ในส่วนของการ Roll over ก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่เล็กน้อย ซึ่งอีกส่วนที่น่าสนใจก็คือ คนส่วนใหญ่ที่ Trade Future เล่นเพื่อเก็งกำไร ไม่ใช่ต้องการซื้อน้ำตาลจริงๆ ดังนั้น เมื่อใกล้ๆหมด Contract ราคาจะลดลง ส่วนสัญญาเดือนไกลจะเพิ่มขึ้น ..ตาม Demand & Supply นั่นเองครับผม)
..เอาเป็นว่า วันหลังจะมาลงลึกในรายละเอียดของการ Trade Commodity กันต่อไปครับ!!
ขอบคุณครับ จะรออ่านนะครับ :)
ตอบลบ