"ฟรีด้อมเทรดเดอร์"

"ฟรีด้อมเทรดเดอร์"
"การเดินทางของ Commodity Trader กาแฟสักแก้ว และก็กางเกงใน -- สำหรับโกยเงิน และสร้างความนิ่ง"

คุยกับเราใน Facebook (คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกัน สำหรับคนที่มี Facebook)

คุยกับเราใน Facebook (คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกัน สำหรับคนที่มี Facebook)
เป็นเพื่อนกัน (click เลย)... "เข้าสู่โลกของ Monkey Trade กันคร้าบ!!"

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 5 (คุณนับ Wave เป็นไหม!!)


ภาววิทย์ : Elliot Wave หลายคนสงสัยว่า "มั่ว!!" ไหนป๋าหยงช่วย ไขข้อข้องใจหน่อย

ป๋าหยง : Wave นี่มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน..จริงมันใช้เป็นเครื่องมือในการอ้างอิงการขึ้นลงของราคาหุ้น เพราะจริงๆแล้ว ถ้านับผิดมันก็เปลี่ยนไปนับใหม่!!

ภาววิทย์ : อ้าว!! อย่างนี้ก็ไม่มีผิด ซิป๋า เพราะผิดก็เปลี่ยนนับใหม่ (งง จัง)

ป๋าหยง : ฮ่า ฮ่า นี่แหละความงามของ Elliot Wave .."ก็อย่างที่บอก ความรู้มันมีไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไหนๆ ทฤษฎีนี้ก็มีคนพูดถึงเยอะ ถ้าคุณไม่รู้เรื่องเดี๋ยวจะดูเชย ไร้การศึกษาไป!!

ภาววิทย์ : โห!!ป๋าหยง นี่เหน็บแรง นะเนี่ย!! โอเค ..ป๋าสอนผมคร่าวๆซิว่า Elliot Wave นับอย่างไร

ป๋าหยง : เอานี่เลย SET ดูที่กราฟ


อย่างกราฟนี้ SET ..คือ Elliot Wave จะแบ่งออกเป็น "ขาขึ้น" Wave 1/2/3/4/5 จากนั้นก็ "ขาลง" Wave a/b/c

(อธิบายง่ายๆคือ Wave 1 คือหุ้นขึ้น จากนั้น Wave 2 ก็คือ correction จาก Wave 1 "ถ้าใครอยากหาประมาณการก็ลาก Fibo ดูว่า Wave 2 จะปรับฐานลงมาเท่าไหร่ก่อนจะขึ้นต่อ)

Wave 3 เป็น Wave ที่ขึ้นต่อไป (ซึ่งหลักๆ Trader จะชอบ Wave นี้เพราะรู้ว่า ยังไงถ้าเล่น Wave นี้..หากพลาดก็ไม่ติดดอย เพราะมันจะย่อลงมาที่ Wave 4 ...จากนั้นก็จะไปจบที่ Wave 5 "ซึ่งคือจุดสูงสุดของขาขึ้น"

จากนั้นในขาลง ..ลงครั้งแรกก็คือ Wave a แล้วหุ้นก็จะปรับตัวเด้งขึ้นไปเป็น Wave b และก็ไปจบที่จุดต่ำสุดของทั้งรอบนั่นคือ Wave C

ภาววิทย์ : ทำไมมันฟังดูง่ายอย่างงั้น "แล้วจะดูยังไงล่ะ"

ป๋าหยง : ก็อย่าไป serious อะไรมาก ..เริ่มต้นคุณหา Wave 5 ให้เจอ(จุดสูงสุด) อย่างในกราฟก็ปี 1994 ที่ 1,700 จุดนั่นแหละ Wave 5 "จบขาขึ้นของตลาดหลักทรัพย์ไทย" หลังจากนั้นก็ลงมาตลอด และมาจบ Wave c ที่ 200 จุด (ไอ้วิกฤตต้มยำกุ้งนั่นแหละ) ...แค่รู้ว่าจุดไหน Wave 5 และจุดไหน Wave c --แค่นี้ก็ Happy แล้ว"...จากนั้นจะเป็นยังไงต่อ ก็แล้วแต่คุณจะนับ แต่พูดง่ายๆว่า คุณเห็นภาพรวมของตลาดเหมือนที่ผมเห็นแล้วใช่ไหม"

ภาววิทย์ : โห!! เทพมาก คือสรุปว่า ถ้าเรารู้จุดสูงสุด และต่ำสุด เราก็พอจะรู้ว่า ณ เวลานี้ตลาดแพงหรือยัง ..ถ้าเริ่มนับจากตอนนี้ก็เริ่มนับขึ้น Wave 1 แล้วมาลง Wave 2 ช่วงปี 2008 "นั่นหมายความว่านี่คือ Wave 3" ถูกต้องไหมป๋า!!

ป๋าหยง : "ก็อย่างที่บอกแหละ ไม่มีใครรู้" แต่คุณสังเกตไหมว่า ไม่ว่าตอนนี้มันจะเป็น Wave 3 หรือมันจะเป็น Wave 1 ใหม่ (แบบที่หลายๆคนนับ) มันก็ไม่ใช่สาระ --"สาระสำคัญก็คือ คุณเห็นไหมว่าไม่ว่า Wave 1 หรือ 3 ยังไงก็แปลว่า "ตลาดหุ้นเรายังจะขึ้นไปอีกมาก" (นี่และประโยชน์ของการนับ Wave คือมันช่วยสร้างภาพให้เราเห็นได้ว่า ณ ตอนนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหนนั่นเอง)

ภาววิทย์ : เยื่ยม!! งั้นผมจะไปเก็บหุ้นเพิ่มก่อน

ป๋าหยง : แต่!! อย่าเหลิง ..เพราะไม่ว่าตอนนี้จะนับเป็น Wave 1 หรือ 3 -- มันก็ยังต้องมี correction ที่ Wave 2 หรือ Wave 4 อยู่ดี "ดังนั้น ถึงรู้และเห็นภาพใหญ่ คุณก็ยังคงต้องระวังอยู่ดี"

และนี่และ Elliot Wave เครื่องมือที่ทำให้คุณรู้ว่า "ตลาดไม่ได้ขึ้นแบบจรวด มันจะขึ้นและก็มี Correction อยู่ตลอดเวลา" ---- เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะคนที่ซื้อต่ำ เขาก็ย่อมทำกำไรเป็นระยะนั่นเอง มันถึงเกิดเป็น Wave ต่างๆยังไงล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 4 (หาจุดสุดยอด"โอ้ว!!"ให้เจอ)



ป๋าหยง : "หาจุดสูงสุดให้เจอ ...เฮอะ ๆ ๆ" (ผมไม่ได้ฝันใช่ไหมนี่...บ้าหรือ!! มันไม่มีครับ!!) แค่คำถามที่ผมตั้งเอง ก็ตอบเองเลยว่า ใครจะไปรู้จุดสูงสุด !!

ภาววิทย์ : เอ๋อ!! สรุปงั้นเราปิดประเด็นเลย ใช่ไหมป๋า "ประกาศ ไม้ตายป๋าหยง หาจุดสูงสุด คืนสู่สามัญ สรุปว่า "ไม่มี" ฮ่า ฮ่า ฮ่า (การสนทนานี้ช่างสั้นจริงๆ)

ป๋าหยง : เฮ้ย++ เดี๋ยวๆๆ"ผมยังพูดไม่จบเลย" คือที่เปิดประเด็นขึ้นมาเพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่า การหาจุดสูงสุดแบบเป๊ะๆ มันไม่มีหรอก เพราะคุณคาดการณ์อนาคต แต่ผมไม่ได้บอกว่า เราไม่สามารถหาจุดนั้นได้ "(ทำได้)แถมค่อนข้างแม่นด้วย"

ภาววิทย์ : "จริงหรือ ป๋าหยง -- เราสามารถหาจุดสูงสุดได้จริงๆ หรือ ..ทำไงล่ะ!!"

ป๋าหยง : เอ้า!! ดูที่กราฟ


นี่เอาตัวอย่างง่ายๆ กับการใช้ Indicator ง่ายๆอย่าง RSI มาช่วยดู ...RSI ดูอะไร "ก็ดู Momentum" ดูรอบของมัน ..อย่างที่เรารู้ๆกันว่า Price Move in Trend "ก็คือหุ้นมันขึ้น หรือลง มันก็จะเคลื่อนไปเป็น Trend ..ดังนั้น ถ้าขาขึ้นมันก็จะแสดง Trend ขาขึ้นมาในสัญญาณ Technical"

อย่างในตัวอย่าง เราก็ยึด Peak & Trough เป็นกรอบให้เห็น Trend ..อย่างช่วงขาขึ้น หากเราเอาทฤษฎี Dow มาจับตาม ระบบ Peak & Trough เราก็จะดูได้ว่า หาก Trend ยังคงอยู่ในขาขึ้น สัดส่วนในการขึ้น ก็จะขึ้นแบบคลื่น แต่หลักการง่ายๆของ Dow คือ ราคาปิดมันไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้ามอย่างชัดเจน "เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน (เช่น การลงอย่างต่อเนื่อง)นั่นมันหมายถึงสัญญาณของการเปลี่ยน Trend หรือ ขาลงนั่นเอง"

การหาจุดสูงสุด เราจะดู RSI ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของราคาในภาพที่ใหญ่ขึ้น เมื่อสัญญาณของ RSI มันเริ่มอ่อนตัวลง มันก็เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เราสามารถตัดสินใจว่า ควรจะออกหรือไม่ --เพราะโดยมากเมื่อ RSI ขึ้นไป Peak จากนั้นหากมีการย่อตัวลงมา มันก็คือ จุดเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลงนั่นเอง

ภาววิทย์ : มันจริงหรือ!!

ป๋าหยง : "ส่วนใหญ่นะ... แต่ไม่ใช่เสมอไป" อย่างที่ผมบอกว่า Technical เป็นเครื่องช่วยในการศึกษาราคาในอดีตที่อาจจะส่งผลต่ออนาคต มันไม่ใช่เครื่องมือหมอดูที่จะเอามาทำนายอนาคต "คุณเข้าใจไหม"

ภาววิทย์ : งั้นแปลว่า ..การเริ่มยกตัวของ RSI (จากกราฟ) มันบ่งชี้ถึงสัญญาณในการขึ้น จากนั้นเมื่อ RSI เริ่มลงอย่างชัดเจน (จากกราฟ) คุณก็ให้เลือกจุดออกตามความพอใจ ..ดังนั้น ตราบใดที่ RSI ยังอยู่ในระดับสูงๆ ก็ให้ Let Profit Run ไปเรื่อยๆ

ป๋าหยง : "ถูกต้องเลย" ..เสริมอีกนิดว่า ตรงนี้มันเป็นศิลป์ ไม่ใช่ ศาสตร์ ดังนั้นความแม่นยำมันขึ้นกับการฝึกฝนของคุณ

ภาววิทย์ : แล้ว MACD ที่เขานิยมดูกัน เอามาทำอันหยัง ล่ะป๋า!!

ป๋าหยง : อ๋อ!! MACD ดูง่าย ตัวเร็ว ตัดตัวช้า เป็นสัญญาณ "บอกใบ้" -- ตัดลง"ขาย" ตัดขึ้น"ซื้อ" (ง่ายไหมล่ะ) ..ตัว MACD เป็นค่าเฉลี่ยส่วนต่างของราคา ดังนั้น เอาตัว"เร็วกับช้า"มาดูการเปลี่ยนแปลง มันก็ช่วยให้เราเห็น แนวโน้มของราคานั่นเอง!!

ภาววิทย์ : โอเค (ผมเข้าใจแล้ว) หาก MACD "ตัวเร็ว"ตัดลงใส่"ตัวช้า" ก็คือสัญญาณขาย (แต่อย่างในกราฟ เผอิญเราใช้ MACD ที่ค่อนข้างช้ามันก็เลยตัดช้า "ตัดช้าก็หมายถึงการขายที่ช้า ซึ่งบางคนอาจจะบ่นว่า อย่างนี้ก็ติดดอย" ..แต่ประเด็นที่ผมจะชี้ คือ สัญญาณอย่าง MACD ที่เร็วๆ ...จริงอยู่ให้สัญญาณซื้อขายได้เร็ว "แต่บางครั้งมันอาจเร็วจนทำกำไรแทบไม่ได้"

..อย่าง Monkey Trade เราจะเน้นการ Let Profit Run ให้เต็มที่ก่อนขายนั่นเอง (อันนี้ขอแนะนำให้ไปฝึกดู บางคนใช้เส้นเร็วที่ 7 วัน ตัดเส้นช้าที่ 14 วัน ..อันนี้ขอบอกอีกครั้งว่า มันเป็น Art ไปหาเอาเอง)

ป๋าหยง : ฮึม RSI และ MACD ก็สรุปคือมันคือเอา "ราคา" มาตัดไปตัดมา จาก "ราคาภาพแบนๆ" พอเอาราคามาหาส่วนต่างก็เกิด ภาพของแนวโน้มของราคา "สรุปก็คือ ดูราคา สร้างให้เป็น 3 มิติ ใส่จินตนาการณ์เข้าไป" ....ฮ่า ฮ่า นี่แหละ Technical ดูง่าย แต่ลึกๆมันอยู่ที่การฝึกฝนและการมอง "และนี่คือ จุดที่กินกัน!!"

คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 3 (ลาก Trend Line ให้เสียว)



ป๋าหยง : "ช่วงนี้บรรยากาศเริ่มร้อนนะ"

ภาววิทย์ : (ร้อนอะไรฟะ ฝนตกเปียกขนาดนี้!!) วันนี้เบื่อๆ ตลาดหุ้นวิ่ง Sideway ทำเอานักเก็งกำไร Technical อย่างป๋าหยง นั่วชิงตลอดวัน เนื่องจากหยุดเล่น Tfex หันไป Focus ตลาด Commodity แทน..โดนเฉพาะ "น้ำตาล" ....คำถามสำหรับป๋าหยงคือ "ได้ข่าวว่า หมัดเด็ดที่ป๋าปล่อยไปอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำเอากำไรจาก Trade น้ำตาลเยอะมาก "รวยๆ" ..ไหนป๋าเล่าให้ฟังหน่อย!!

ป๋าหยง : ไม่มีอะไรมาก "เลือกอะไรที่มันถูกจริตเรา..ฮ่า ฮ่า" คือ ตลาดน้ำตาลช่วงนี้มันดีดกลับมาแรง ที่ผมกำไรก็ธรรมดา (ตาม Technical ที่คุยกัน ผมลาก Trend Line ไปวางรอวัน ..ถ้าราคาน้ำตาลมัน Break Trend Line ในภาพใหญ่ ผมก็เริ่มเข้ามาพิจารณาเล่นขา Long "ดูภาพไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ส่วนสัญญาณ Peak & Trough ก็ส่งสัญญาณเขียวให้เราเล่นหน้า Long อย่างชัดเจน" ...ผมก็เล่นตาม Trend ขาขึ้นอย่างระวัง เท่านี่ก็กำไรมหาศาลแล้ว ..เฮ้ย!! แต่คุณอย่าลืมนะ การเป็น Trader โดยเฉพาะการ Trade Future คุณต้องมี Stop Loss ทุกไม้... ไม่ใช่เข้าแล้วชิว (ไอ้พวกเข้าแล้วชิว ผมเห็น ไปเข้าโรงพยาบาลหลายคนแล้ว "ราคาลงจนสติแตก ขายไม่ทัน ฮิ ฮิ ขำกลิ้ง!!)

(จากกราฟ หากตัด Trend Line + ระบบ Peak & Trough เราก็จับเขียวแท่งแรกเป็นจุดเข้าซื้อ แล้วออกที่แดงแท่งแรกถัดไป "อิ่มเลย ป๋าหยง "น้ำตาล" รอบนี้..อิ อิ")

ภาววิทย์ : เอ๊ะ!! อย่างนี้ก็เอาวิธีนี้มาหาจุดต่ำสุดของราคาหุ้นได้ใช่ไหมล่ะ !!

ป๋าหยง : No no no.. อย่างที่ผมบอกแล้วว่า Technical ไม่ใช่การบอกอนาคต คุณเอามาช่วยเป็น Reference แต่อย่า งมงาย ..อย่างในภาพ ผมแค่ใช้ Trend Line เพื่อหาดูว่า "น้ำตาล" จะสิ้นสุด Trend ขาลงเมื่อไหร่เท่านั้น "แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อจบแล้วมันจะ สิ้นสุดขาลงจริงๆ ..." คุณเข้าใจไหม"

ภาววิทย์ : โอเค ..ผมพอจะเห็นภาพแล้ว -- การเล่น Technical ไม่ใช่การคาดการณ์อนาคต เพียงแต่เราใช้เครื่องมือต่างๆมาดู แล้วเล่นตามสิ่งที่เห็น " Play as you see!!" ใช่บ่ "ป๋าหยง"

ป๋าหยง : ถูกต้องเลย ....คนส่วนใหญ่เข้าใจประเด็นผิดนึกว่าจะเอา Technical มาหาจุดต่ำสุด หรือ สูงสุด "บ้าหรือ" ...อย่างผมเอง ผมไม่เคยออกที่ราคาสูงที่สุด ผมรอให้ราคาแตะ Peak แล้วเปลี่ยนลงมาทำสัญญาณขา ลงอย่างชัดเจน (แต่จริงๆมันก็ Peak แล้วย่อลงมาไม่มาก เราก็ออก ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ...คนส่วนมาก ถามผม ทำไมไม่ออกที่จุดสูงสุด) ผมก็ตอบไปว่า "คุณพูดง่ายนี่ เพราะเวลาคุณเอากราฟมาดู เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว "คุณก็ต้องรู้ซิว่า จุดไหนเป็นจุดสูงสุด"

ภาววิทย์ : ป๋าหยง หมายความว่า คนที่บอกว่าจะออกในจุดสูงจุด เขามักจะออกด้วย อารมณ์ตัวเอง (คือ ออกเมื่อเขาคิดว่า นั่นคือสูงสุด ..ซึ่งส่วนมาก เป็นการปล่อยหมู "พอออกแล้วหุ้นขึ้นต่อ") ..ดังนั้น คนที่บอกว่า ชอบออกที่จุดสูงสุด คือ "คนที่ไม่เคย Let Profit Run ...ผลก็คือ คนๆนั้น มักขายหมูเสมอ" ใช่ไหมป๋า

ป๋าหยง : "แม่นแล้ว" นี่แหละที่ผมพยายามบอก คือ คนส่วนใหญ่ชอบเอา กราฟหรือเหตุการณ์ในอดีตมาวิเคราะห์ว่า "ถ้าเป็นผมนะ..ผมจะทำอย่างงั้น อย่างงี้ (ผมอยากสวนมันจริงๆ ว่า "แล้วทำไมตอนนั้น มึงไม่ทำเล่า!!")

ภาววิทย์ : โห!! แรง ง่ะ (ป๋าหยงนี่ใส่อารมณ์จริงๆ มันส์ง่ะ ... "เอ้าเล่าต่อ")

ป๋าหยง : ผมมีเคล็ดลับอีกอย่างนึง ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟัง "เดี๋ยวขอไปแปลงฟันต่อ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 2 (ปั่นข่าว ปั่นหุ้น ช่างหัวมัน)

บรรยากาศมึนๆ หลังจาก รัฐบาล "กวน มึน ตรึม (นายกสุดหล่อ ) พร้อมรัฐมนตรีคลังผู้อยู่สูง ..อิ อิ" จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ มาบตาพุต ยัน 3G ...ผมคุยกับ "ป๋าหยง" ว่าจริงๆ ที่ห่วยมันเป็น อะไรกันนี่

ว่าแล้ว ภาววิทย์ ก็หยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น "เฮ้ย!! เราลองมาดูกันว่า ถ้าเราสามารถควบคุม นโยบาย เราจะเล่นหุ้นให้รวยได้อย่างไร"

"ป๋าแพ้ท" คือ นายหมายความว่า "มีคนบางกลุ่ม!! กำลังปั่นหุ้น และรวยกันอย่าง กวน มึน ตรึม!!"

ภาววิทย์ "มา!! ลองมา ร่างวิธีการดู...เริ่มจาก เอ้า มาบตาพุตละกัน!! ปัญหาเริ่มจาก คุณว่า ไอ้ โซนนิ่งอุตสาหกรรม กับชุมชน อะไรเกิดก่อนกัน

"ป๋าหยง" ไม่แปลกเลย ชุมชนอาจเกิดก่อน คือ ก่อนมีนิคมอุตสาหกรรม อาจมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน จากนั้น พอเกิด นิคมอุตสาหกรรม ก็มีคนย้ายมาอยู่มากขึ้น ..นั่นหมายความว่า "ชุมชนเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับ การขยายตัวของอุตสาหกรรม" ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชุมชน แต่มันอยู่ที่หน่วยงานที่ดูแล นิคมอุตสาหกรรม(คุณอนุญาตให้คนมาอาศัย ติดกับนิคมอุตสาหกรรมได้ไง "บ้าไปแล้ว") ป๋าแพ้ทว่าไง...

ภาววิทย์ : ฮึม!! ตรงประเด็น ผมว่าจริงๆแล้วปัญหาคือ รัฐบาลนี่แหละ ..ถ้าเรื่องนี้เกิดในจีน หรือในประเทศพัฒนาแล้ว ผมว่า เขาก็ต้องจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ชุมชน เพราะหากคุณเป็นชาวบ้าน คุณต้องเลือกอย่างใดอย่างนึง ...คือ คุณไม่สามารถเลือกการหารายได้ จากชุมชนอุตสาหกรรม โดยที่คุณจะคาดหวังว่าคุณจะอาศัยอยู่ในที่ปลอดมลพิษ "มันเป็นไปไม่ได้" (การเลือกคือ "รายได้" กับ "คุณภาพชีวิต" ไม่ใช่บอกว่าจะอยู่ที่เดิมแต่โรงงานต้องสะอาด "มันตลกไหมล่ะครับ" --- นี่แหละครับ สิ่งที่นักการเมือง เอามาพ่นใส่กัน โดยปั่นหัวให้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ!! )...คุณคิดดูนะ อาชีพที่เสี่ยงก็ย่อมมีรายได้สูง แต่นี่คุณมาบอกว่าผมอยากได้รายได้สูง แต่ผมจะไม่เสี่ยง

ป๋าหยง : ก็ถูก... อีกมุมที่ผมสนใจคือ "ผมว่านี่มันประเด็นการเมือง" ..แบบว่า เตะขัดขากัน โยนเงินฟาดหัวนักวิชาการ หรือ องค์กร NGO ไม่กี่คน ให้ออกมาวิ่งเต้น "อันนี้เขาเรียก กลยุทธ์เทพ ใช้เงินไม่กี่ล้าน เตะขัดขาธุรกิจแสนล้าน" ดังนั้น จริงๆชาวบ้าน น่าสงสาร คือ เขาไม่ได้อะไร โดนปั่นหัว หลอกให้เผาบ้าน เผาแหล่งทำกินของตัวเอง ...สรุปท้ายสุด ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง (แม่ง!! มองแล้ว เหมือนที่อเมริกัน ทำกับพวกแขกอาหรับเลย ..เอาเงินและอาวุธ สนับสนุนพวกแขกสองฝ่าย ให้มันรบกันเอง สรุปใช้เงินไม่ต้องมาก แต่ประเทศพวกอาหรับลุกเป็นไฟ "นี่แหละแม่ง เลวขั้นเทพ แต่ฉลาดสุดขั่ว"

ภาววิทย์ : โห!! เห็นภาพเลย (โอเคผม ร่างออกมาแล้ว "ทฤษฎีความเลว แบ่งคนเป็นสองฝ่าย แล้วให้รบกันเอง") เอ๋อ!! ว่าแต่ดูไปดูมา มันสะท้อนภาพรวมของกีฬาสีบ้านเรายังไงไม่รู้นะป๋า ..ฮ่า ฮ่า ตลก

ป๋าหยง : ก็นี่แหละ "คนไทย" โดนปั่นหัวนิดเดียวก็เชื่อ ผมว่าจริงๆโทษใครไม่ได้ เราต้องโทษตัวเอง ที่ไม่มีปัญญา สุดท้ายถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาประโยชน์สำหรับ คนไม่กี่คนในประเทศ ...เอ๋อ (ชักแรง) กลับมาประเด็นหุ้นดีกว่าเนอะ !! มาคุยประเด็นเบาๆอย่างการปั่นหุ้นดีกว่า ..อิ อิ (เบาตรงไหนฟะ!!)

ภาววิทย์ : ผมเองมองการปั่นหุ้นออกเป็น สองลักษณะนะ
หนึ่ง ปั่นชั่ว คือ ปั่นหุ้นไร้พื้นฐาน สุดท้ายก็ปล่อยรายย่อยติดดอย (ติดดอยพร้อมหุ้นห่วยๆ ..ตอนนี้ก็อย่างหุ้นมือถือค่าย... ไม่เคยปันผลเลย ขาดทุนตลอดชาติ เล่นแต่ข่าว ถ้ามันทำสำนักข่าว ผมว่าน่าจะรุ่งกว่ามือถือนะ เอ๊กๆๆ ๆ ฮ่า ฮ่า)
สอง ปั่นหุ้นคุณธรรม คือ การเอาหุ้นพื้นฐานดีมาปั่น ..อันนี้ผมก็พอรับได้นะ บางบริษัทปันผลปีละ 10% ราคาหุ้นคือ P/BV ก็ต่ำสุดๆ ผมว่าหุ้นแบบนี้ ปั่นมาดิ "ผมรับเอง" (คือถ้าผมออกทัน ผมก็ออกไปพร้อม Capital Gain ในเวลาอันสั้น) ในกรณีแย่สุด คือ ผมรับแล้ว ไม่มีใครมารับต่อ ..ผมก็ถือต่อรับปันผล "รออีกไม่นาน เดี๋ยวก็มีพวกบ้ามารับต่อจากผมเอง" (ตลาดขาขึ้นแบบนี้ ท้ายสุดหุ้นทุกตัวก็ต้องขึ้นอยู่ดี จะเล่นหุ้นพื้นฐานห่วย ไปทำไมล่ะ จริงป๊ะ)

ป๋าหยง : เออ "ถูกต้อง ..ผมเห็นด้วย" ตลาดขาขึ้น ท้ายสุดหุ้นทุกตัวก็ต้องขึ้นอยู่ดี ..ทำไมเราไม่หาหุ้นที่ยังไม่ขึ้นแล้วซื้อเก็บไว้ก่อน เพราะในที่สุดแล้ว เดี๋ยวพอ ขาใหญ่ปั่นไปปั่นมา พอหุ้นที่มันปั่น แพงหมดแล้ว ..ก็ต้องมาหาหุ้นที่ยังไม่แพงปั่นค่อ" ดังนั้นสุดท้าย หุ้นถูกๆที่เราซื้อไว้ ก็จะมีคนมาปั่นในที่สุด" (เทพจริงๆ)

ภาววิทย์ : ว่าแล้วมาทำบ้านกันต่อดีกว่า "หาหุ้นถูกๆ ที่ยังไม่มีใครปั่น ให้ปันผลดีๆ...ซื้อตุนเข้า Port ไว้ก่อน" มาลุยกันป๋า!!

"ลุย!!"

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ทองทะลุ Fibo 161.8% จะไปถึงไหนเนี่ย!! (Fibo ภาคทองคำ)


เผยโฉมหน้า Thomas Kaplan เศรษฐีหนุ่มผู้คลั่ง"ทอง"

ตอนนี้ทองวิ่งเอาวิ่งเอา จนเข้าเรดาห์การจับตาของ Monkey Trade อีกครั้ง ...นี่เป็นบทความภาคต่อจากความงดงามของ Fibonacci ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ศาสตร์หมอดูอะไร เพียงแต่ไอ้สัดส่วนทางคณิตศาสตร์ตัวนี้มันได้ไขความลับ เกี่ยวกับสัดส่วนต่างๆ ที่มันเหมาะเจาะกับ หลายสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา รวมทั้งตัวของมนุษย์เองด้วย ...(เอ๋อ!! คนเขียนก็ งง ..เอาเป็นว่าช่างมันเถอะครับ ที่มามันลึกลับ แต่วิธีใช้ Fibonacci มันไม่ลึกลับ พวกเรา Monkey Trade เลยชอบเอามาลากหา Target ของราคาแบบ ขำขำ "ไม่คิดมาก")

เผอิญว่างๆ เลยไปหยิบ Bloomberg Businessweek ขึ้นมาอ่านบทความเกี่ยวกับ Billionaire คนนึง ชื่อ Thomas Kaplan (อายุ 47 ปี "หล่อแล้วรวยโคตร") สิ่งที่ Kaplan ทำนั้น น่าสนใจมาก คือ เขา Bullish ใน ทองมากๆ ถึงกับเอา Asset ของเขา เข้า Bet ในทองอย่างสุดๆ

Kaplan ไม่ใช่แค่ซื้อทองแบบเราๆท่านๆ แต่เขาไปซื้อเหมืองทอง (นี่หนาเศรษฐีมันคิด มันทำอะไร มันก็ Advance เลย จินตนาการของมนุษย์ปกติ นี่แหละที่เขาบอก ถ้าไม่บ้า "คุณไม่รวย!!" อิ อิ)

เขาลงทุนในบริษัท Canadian "Gabriel Resources ที่มี Gold Reserved ใหญ่ที่สุดในยุโรป" ประเมินมูลค่าทั้งหมด 10 ล้าน ounces ซึ่งมีค่าเท่ากับ 12 Billion (ในราคาปัจจุบัน ..แต่ถ้าทองขึ้นไปเรื่อยๆ เขาคงรวย มากกก... ก๊าก ๆ ๆ)

สิ่งที่น่าสนใจคือ Kaplan ไม่ใช่เศรษฐีคนเดียวที่บ้าทอง ยังมี John Paulson อีกคน...​เป็น Hedge Fund Manager ชื่อดังผู้ที่สร้างตัวจากการ Bet Against Sub-prime "ช่วงนั้น Paulson ใช้เงินใน Hedge Fund เกือบทั้งหมดที่เขาบริหาร เก็งว่า จะต้องเกิด Sub-prime Crash "-- และนั่นก็ทำให้เขารวยสุดๆ ..ณ วันนี้ Asset ที่เขา Bet ครั้งใหญ่ว่ามันจะต้องขึ้น ก็คือ "ทอง"

เล่าไปไกลถึง 2 หน่อ หล่อ ล้ำ เศรษฐีชื่อก้องโลกทั้งสองคนผู้คลั่งในทอง ...กลับมาที่ Technical ของเรากันดีกว่าว่า Fibonacci มันพยายามบอกอะไรเรา

มันเริ่มจากการนับ Elliot Wave ก่อนว่า "คุณมองว่าทองอยู่ใน Wave ใด" จากในกราฟอาจจะสุดโต่งไปสักนิดที่ให้ช่วงนี้เป็น Wave 3 แต่ถ้ามันใช่ Wave 3 จริงๆ -- Fibonacci กำลังบอกเราว่ามันทะลุสัดส่วนค่า 161.8% ไปแล้ว --"จุดหมายต่อไปคือ ค่าสัดส่วน Fibonacci ที่ 261.8%" ทอง 1,600 บ้าไปแล้ว !! (จริงหรือ)

เอาเป็นว่า ดูสองตาแต่ ไว้หูเอาไว้บ้าง ...นี่เป็นการดูสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดก็ได้ ..ขอย้ำว่าไม่มีเครื่องมือทาง Technical ใดที่สามารถทำนายอนาคตได้ -- เพียงแต่ Fibonacci เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนของธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์รวมทั้งการตัดสินใจในสิ่งต่างๆ ย่อมถูกกำหนดโดยธรรมชาติ !!

ในภาพใหญ่ทองขึ้นมาแรงมากๆ ก็เพิ่ง 5 ปีที่ผ่านมานี้เอง สาเหตุใหญ่ๆก็มาจาก มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในเงินกระดาษ (แบงค์กงเต๊ก นั่นแหละ!! ) จึงหันเหเข้าหา Asset ที่จับต้องได้ ซึ่งทองก็เป็นหนึ่งในนั้น ...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทองจะขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังรู้สึกไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ

คำถามในใจหลายๆคน คงอยากรู้ว่า แล้วเมื่อไหร่ทองคำจะถึง "ยอดดอย" แล้วพุ่งกลับลงมา (อย่างแรง!!)..เท่าที่ดูอาจจะไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ --- แต่อย่าประมาทล่ะครับ

ให้จำคำของ Buffet ไว้ว่า "เมื่อทุกคนกล้าในสิ่งใดมากถึงขีดสุด นั่นแหละเป็นช่วงเวลาที่คุณจะต้องกลัวสุดขีด" (เป็นไงบ้าง ล่ะครับ อ่านบทความนี้แล้ว คุณจะ งง ว่า "ตกลงจะให้กูซื้อทองไหมเนื่ย!!" ..คำตอบมันอยู่ตรงกราฟและข้อมูลที่ผมจัดให้อยู่แล้ว "แต่ท้ายสุดตัวคุณเอง คือผู้ตัดสินใจ!!"

อาฮ่า !! รู้สึกเท่ห์ไหมครับ เพื่อนๆ อิ อิ

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

Fibonacci retracement อีกหนึ่งในเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา!!



"Fibonacci กับ ความงดงามทางคณิตศาสตร์"

ได้ยินเรื่องคณิตศาสตร์แล้ว อย่าเพิ่งง่วงครับ!!

ทำไมผมถึงกล่าวว่า Fibonacci คือ "ความงดงามทางคณิตศาตร์" ก่อนอื่น จะต้องแยกประโยคนี้ออกเสียก่อน. เป็น

ความงดงาม กับ คณิตศาสตร์

คณิตศาสตร์ นั่นก็ืคือ เลขดีๆ นี่เอง... ก็ บวก ลบ คูณ หาร กันไป
ส่วนความงดงามละ ความงดงาม หมายถึง ความสมส่วน หรือ ความลงตัวอย่างพอดี อาทิ ดอกไม้ที่งดงาม ก็คือ องค์ประกอบของกลีบดอกไม้ เกสร และสีของมันที่สมส่วน ลงตัวอย่างพอดี นั่นเอง

Fibonacci number / ratio ในที่นี้ จึงหมายถึง ค่าหรืออัตราที่สมส่วนในทางคณิตศาสตร์ นั่นเอง. บางคนบอกมันเป็นค่ามหัศจรรย์ เป็นอัตราส่่วนของสรรพสิ่ง... แบบนั้นมันก็หลุดโลกเกินไป... scale นั้น เราปล่อยให้คนหลุดโลกเขาคุยกันเอง (ฮ่าๆๆ)

ในการเทรดนั้น เราไม่ได้เอาตัวเลข Fibonacci ตรงๆ มาใช้ แต่เราเอา "อัตราส่วน" ของมันมาใช้เพื่อวัดเป้าหมายของราคาในทิศทางนั้นๆ และในทัศนะของผม Fibonacci ratio หรือ Golden ratio เป็นเครื่องมือเทรดที่ลึกลับที่สุด. ลึกลับยังไง.. เราต้องถอยกลับมาอีกก้าว

เทรดเดอร์ที่ใช้ technical จะใช้เครื่องมือพวก price pattern, moving average และ indicator ต่างๆ มากมาย. ซึ่งจะใช้ได้ดีแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ "หลัก" ของเครื่องมือนั้นๆ แค่ไหน. แต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ. เราจะตระหนักกว่า เครื่องมือพวกนั้นทั้งหมดบอกเพียง "อดีต" ที่เกิดขึ้นไปแล้วเท่านั้น. ไม่มี indicator ตัวไหนที่ช่วยเราคาดการณ์ (forecast) ราคาได้เลย. ทำไงดีละ

และนี่คือจุดที่เอา Fibonacci เข้ามาเสริม.

เครื่องมือสุด classic ในหมวดของ Fibonacci คือ Fibonacci retracement ซึ่งช่วย forecast เป้าหมายราคาในทิศทางนั้นๆ

ที่ผมบอกว่าลึกลับสุด. (ลึกลับยิ่งกว่าเทรดเดอร์ป๋าหยงลึกลับ) คือใช้ได้อย่างถูกต้อง มันแม่นยำมาก. มันมีหลักทางคณิตศาสตร์ที่ไม่ซับซ้อน แต่ให้ผลลัพท์ที่แม่นยำจริงๆ

จะให้พูดว่า Fibonacci ratio ทำงานอย่างไร มันยืดยาว. ให้เรา "เริ่ม" รู้จักกับมันเสียก่อน มันแม่นจริง พิสูจน์ได้

ค่า ratio หลักๆ คือ 23.6%, 38.2%, 61.8% และ 161.8% ตามลำดับไป. หลักการ basic สุดๆ คือ หากราคาผ่านแนว 38.2% ไปแล้ว ก็น่าจะไปต่อถึงแนว 61.8% ถ้าผ่านแนว 61.8% ไปแล้ว ก็จะไปถึงแนว 161.8%

ฝากดู attach ภาw #1 กับ ภาพ #2 ด้วยนะ

Fibonacci เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้คู่กับ Elliott wave theory (Ewt) จะนำหลักการ Ewt มาใช้ จะต้องเข้าใจ price action ให้ถ่องแท้. ใจเย็นๆ ค่อยๆ ศึกษากันไป. ป๋าหยงและป๋าแพ้ท "Monkey Trade" ก็จะนำ idea ดีๆ มาเล่าสู่กันฟังเรื่อยๆ ครับ


ประมาณนี้แหละครับ...เด้อ!!

ดูในกราฟ จะเห็น เส้น Fibonacci ค่อนข้างที่จะเป็นจุดพักของราคาอย่างมีนัย!! (อย่างไรก็ตาม ความแม่นในการลาก Fibo มันขึ้นกับความแม่นในการนับ Elliot Wave ด้วยเช่นกัน)... แต่ขอย้ำว่า "บางคนนับ Wave ถูก ขีด Fibo แม่นสุดๆ แต่ปรากฏว่า "แพ้ใจตัวเอง" ป่อย ๆ ๆ !!

ฝึกฝนกันต่อไปครับ การเล่น Technical เหมือนเล่นกีฬา ยิ่งฝึกยิ่งแม่น !!

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 1 (เขาว่าผมเป็นมืออาชีพ)

ที่มา : "เริ่มมา หลายๆคน คงสงสัยว่า ทำไมต้องเรียก "ป๋าหยง" (เอาหละ ผมจะเล่าให้ฟัง)"

กาลครั้งหนึ่ง(นานมาแล้ว) นายภาววิทย์ ก็ไปเจอ Trader คนนึง(ที่มันทำตัวลึกลับ..ขนาดเอาภาพหมีแพนด้ามาใส่ Facebook มันจะลึกลับไปถึงไหน!!) ...
Trader ลึกลับ (พูดขึ้นว่า) "ไง..ป๋าแพ้ท" มันทำให้ผมสวนไปว่า "ไงล่ะ..ป๋าหยง ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
...สรุปต่างคน ก็เลยกลายเป็น "ป๋า" แต่นั้นมา (งง) ไปหมด...ไร้สาระจริงๆ ฮ่า ฮ่า

เข้าเรื่องเลยดีกว่า "ผมไปเจอหนังสือการ์ตูน เล่มนึงที่เขียนโดย คนสิงค์โปร์คนนึง มันเป็นคล้ายๆกับ Life Journey ที่ถ่ายทอดลายเส้น มาเป็นการ์ตูนสะท้อนชีวิต ของคนธรรมดาๆ อายุราว Gen Y (อายุ 30 ลงมา) ซึ่งขายดีมาก"

ประเด็นที่น่าสนใจมันอยู่ที่ "หนุ่มคนหนึ่งต้องการเดินตามความฝันของตัวเอง" (ไม่ต้องการอยู่ภายใต้ กรอบแคบๆของชาวสิงค์โปร์ที่ถูก ขีดเอาไว้ โดยท่านผู้นำ "ลี กวน ยู") ..จริงๆ หลายๆคนอาจมองว่า แล้วชีวิตที่เขากำหนดเส้นทางให้เดินแล้วมันไม่ดีตรงไหน!! (จะว่าไปมันก็ดีนะ มันก็ย้อนกลับไปสมัยเรียนประถมใหม่ๆ ที่ทุกคนต้องแต่งตัว เหมือนกัน ทรงผมเดียวกัน เรียนเหมือนกัน ...มันก็มีบางคนที่ทำได้ ภายใต้ความเหมือนนะ)

บางคนเรียนได้ดี ได้เก่งในโรงเรียน แต่พอออกมาข้างนอก กลายเป็น "หนังคนละเรื่อง" (จากชีวิตสุดเท่ห์ในกรอบของโรงเรียน กลายมาเป็นหนังอินเดีย วิ่งไปร้องเพลงไป แถมร้องไห้ไป "แม่งตกงาน แฟนทิ้ง" ไทรโศกสุดๆ"

ประเด็นคือ ถ้าเราไม่ต้องการอยู่ในกรอบที่ "ป๋า ลี กวน ยู เขียนเอาไว้ คุณจะทำอย่างไร" (ลี กวน ยู) เป็นตัวอย่างเฉยๆ เพราะทุกประเทศในโลก มีกรอบของความกดดัน ที่สังคมขีดเอาไว้เสมอ "เรียนดี มหาลัยดัง งานในองค์กรใหญ่ๆ บ้านแบบ Modern ๆ และก็รถเท่ห์ๆ นาฬิกาหรูๆ กระเป๋าแพงๆ แถม Dinner และก็พักผ่อนแบบธรรมชาติสุดๆคืนละแสนกว่าๆ ที่ "ศรีพันวา"

สรุปว่า "มึงทำทุกอย่าง อย่างหนัก เพื่อที่จะสามารถผ่อนคลาย ในชีวิตที่เรียบง่ายอย่าง "ศรีพันวา" ที่ต้องจ่าย หนึ่งแสน (คำถามคือ เพื่ออะไรวะ!!)"

มันเป็นเรื่องของ "Investment Banker" กับ "คนหาปลา" ซึ่งเริ่มจากการ ชักชวนให้คนหาปลาไปใช้ชีวิต ต่อสู้ ผ่าฝัน เพื่อที่จะได้สร้างกิจการให้ใหญ่โต เป็นบริษัทหาปลาที่ยิ่งใหญ่ (ประมาณว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหญ่มากๆ) นายธนาคารก็วาดฝันให้ "คนหาปลา" เห็นว่า การทำงานหนักจะทำให้เขาได้อะไรบ้าง จนมาถึง จุดสุดยอด The Ultimate Goal "ก็คือ Financial Freedom การที่เราไม่ต้องทำงานอีก วันๆก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ อาทิเช่น นั่งตกปลา" ---สรุปไอ้นายธนาคารมัน พา Idea ของคนหาปลา วิ่งไปรอบภูเขา แล้วกลับมาที่จุดเดิม (มึงบ้าไปแล้ว!!)

"สรุปว่า Ultimate Goal คือสิ่งที่ผมชอบ (นั่นก็คือ การตกปลา) ..แล้วตูจะเหนื่อยไปทำซากอะไร ในเมื่อวันๆตู ก็ทำในสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว" ในที่สุด คนหาปลา ก็เตะตูดไอ้นายธนาคารแล้วบอกว่า "มึงไปไกลๆกูเลย!!"

ประเด็นมันเลยย้อนกลับมาที่ "ป๋าหยง" ...จากย่างก้าวที่ผมเดินมาเจอ Trader ลึกลับ คนนี้ก็ได้สัมผัสความไม่ธรรมดา ..ในขณะที่นายธนาคารอย่างผมกินเงินเดือนธนาคาร แต่ "ป๋าหยง" กินเงินตัวเอง (เอ๊ะ!! แล้วกินเงินธนาคาร กับ กินเงินตัวเอง ยังไง ๆ ไม่รู้ล่ะ ให้ "มีกิน"ก่อนอย่างแรก.. อิ อิ)

(ป๋าหยง ถึงกับพูดว่า "ชีวิตของคนสมัยนี้ มันเป็นอะไรที่ซับซ้อน นั่นเพราะเราทำให้มันซับซ้อนหรือเปล่า ...วันนี้เราวิ่งหา เงินมากๆ เพื่อที่จะใช้ ได้มากๆ ในขณะที่การเป็นคนไทย คุณสามารถอยู่โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทก็ได้" .....ถูกแล้ว ป๋าหยง ไปบวช ในวัดป่า มันทำให้รู้ว่า การใช้ชีวิตแบบไม่มีอะไร มันก็อยู่ได้ แต่ความต้องการของเราต่างหาก ที่เป็นตัวผลักดันให้เราเดินในทางที่ยากเกินไป(รึเปล่า) "ท้ายสุดความยาก หรือง่าย มันไม่ใช่สังคมเป็นตัวกำหนด (คุณเองต่างหากที่เป็นตัวกำหนด)) ..."พูดจบประโยค ป๋าหยง ก็เดินไปแปรงฝัน"

Trading Platform ของ "ป๋าหยง" ไม่ใช่อื่นไกล "มันก็คือห้องนอนของป๋าหยงนี่เอง" (หลายคนเสียเวลากว่า 2-3 ชั่วโมง เดินทางไปทำงาน ในขณะที่บางคน ใส่ชุดนอนก็ทำเงินได้) ฮึม!! น่าสนใจ... "และแล้ว ป๋าหยง ก็เดินไปแปรงฝันอีกรอบ" (ที่บอกว่าแปรงฝันได้หลายรอบ ไม่ใช่เพราะปากเหม็น แต่ผมจะโชว์ให้เห็นว่า "มันสบายเพียงใด" หากคุณเดินออกจากกรอบที่สังคมขีดไว้แล้วสามารถอยู่ได้ !!)

การ Trade หุ้นและ Commodity ในมุมของป๋าหยง มีหลายระดับ

1. Survive คือ เอาตัวรอดอยู่ได้ "นั่นคือ คุณต้องมีระเบียบ มีแบบแผนการ Trade ที่ชัดเจน ..มีกลยุทธ์ และวิธีการเข้าออก.. รวมทั้งการ Cut lost ที่ชัดเจน (ไม่ใช่อย่างที่ แมลงเม่า ในตลาดบ้านเราเล่นกัน เวลาขึ้นขาย เวลาลง Hold ต่อไป "จนตาย" ) คือ ถ้าคุณ Trade หุ้นเป็นเรื่อง ขำขำ คงจะไม่แปลกที่คุณสามารถ Hold till you dead ได้ ..แต่สำหรับคนที่ Trade หุ้นเป็นอาชีพ คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ (เพราะนี่คืออาชีพของคุณ)
...ในมุมมองของ Full-Time Trader ที่สามารถ Survive ในตลาดได้ จะเข้าใจเหมือนกันว่า "เงินหรือ Port " มันไม่ใช่เงินของเรา แต่มันคือ อาชีพ (Career ) ดังนั้น เงินที่อยู่ใน Port ในมุมมองของป๋าหยงนั่น มันเป็นเพียงตัวเลข ซึ่งหน้าที่ของ Trader ก็คือ การ Grow Port แล้วสามารถที่จะดึงเงินบางส่วน มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ....."ดังนั้น เงินจริงๆของคุณ มันคือเงินที่ สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขในชีวิต --- มันไม่ใช่ตัวเลขในบัญชี" --งั้นสรุปได้เลยว่า ประเด็นที่สำคัญที่สุดในขั้นแรกของการเป็น Trader มืออาชีพ ก็คือ "คุณต้อง Cut Loss เป็น และคุณต้องทำมันอยู่เป็นประจำ เพราะไม่มีใครเล่นหุ้นได้กำไรตลอด..ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้ อย่าริิอาจเล่นหุ้น ให้ไปซื้อเต้าฮวยมากิน อร่อยกว่า.. อิ อิ"

2. Growth ก็คือ ช่วงที่คุณสามารถ Survive ในตลาดได้แล้ว จากนั้นคุณก็จะ Develop Style การลงทุนเฉพาะตัวขึ้นมา (จุดนี้ให้นึกถึง นักกีฬาอาชีพ คือ ในที่สุดความเก่ง มันเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ...แต่สิ่งสำคัญที่สุด ของ Professional ก็คือ "การฝึกฝนอย่างหนัก") การที่ Tiger Woods สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักกอล์ฟอันดับหนึ่งของโลก มันไม่ได้เกิดจากการนั่งดูวิดีโอกอล์ฟ หรือ อ่านหนังสือวิธีเล่นกอล์ฟ พออ่านไปหลายๆเล่มหน่อยก็นึกว่า ตัวเองสามารถตีเก่งมาก ..แต่พอไปตีกอล์ฟจริง "ห่วยแตก" ...นี่แหละนักลงทุนในตลาดทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองเก่ง "ในที่สุดตลาดมันจะค่อยๆสอนคุณเอง" ...ในช่วง Growth เป็นช่วงที่คุณเติบโตในอัตราเร่ง ซึ่ง wealth โดยเฉลี่ยของ Trader ที่ประสบความสำเร็จ จะมี Port ไม่ต่ำกว่า "ร้อยล้านบาท" (ถ้าผมจะพูดให้ชัดๆก็คือ Trader เก่งๆทุกคนในขั้น Survive เริ่มจากเงินหลักแสนเท่านั้นเอง จนกลายมาเป็น หลักร้อยล้านในช่วง Growth " Ohh !! My God ++ คุณว่าผมพูดเล่นรึเปล่า!!")

3. Wealth ก็คือ "ช่วงแห่งความมั่งคั่ง" (หรือเรียกง่ายๆว่า ช่วงหาปลา เหมือนที่คนตกปลา ได้เตะตูด นายธนาคารอย่างที่ผมเล่านั่นแหละ) ถึงจุดนี้ คนที่ Grow Port เข้าสู่ระดับนี้ได้ จะเลิกยึดติดกับเงิน เพราะมันก้าวผ่าน จุดของ Rat Race มานานแล้ว ...จุดของ Wealth มันแทบไม่เกี่ยวข้องกับการ Trade อีกเลย แต่มันเป็นการวางเงินในลักษณะของเชิงโครงสร้าง "จุดนี้คือ การเลือกกระจายความเสี่ยงของ Wealth ออกไปอยู่ใน Asset ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย Real-estate , Stock , Gold และ ตราสาร รวมทั้ง Financial instrument ต่างๆ (ขั้นนี้ ศาสตร์ในการวางเงิน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด)

การที่เราได้อ่านหนังสือของ Warren Buffet หรือ George Soros แล้วพยายามทำตาม จริงๆแล้ว มันเป็นคนละประเด็น ..หลักการของนักลงทุนใหญ่ๆจะต่างกับเรามาก เพราะเขามองในเชิงโครงสร้าง "มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ Buffet จะสามารถเล่นหุ้นอย่างที่เราเล่น" ยกตัวอย่างตลาดบ้านเรา ถ้า Buffet ต้องการเล่นหุ้นจริง ผมว่า มีหุ้นอยู่ไม่ถึง 10 ตัว ที่ Buffet สามารถซื้อ แล้วไม่ทำให้ราคาหุ้นพุ่งติดเพดาน (หรือพอขายแล้วไม่ทำให้หุ้นติด Floor) ...ที่ว่า 10 ตัว จริงๆแล้ว อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เพราะ Port ของ Buffet ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเสียอีก "คุณเห็นหรือยังว่าตลาดเราเล็กเพียงใด ในมุมมองของ Financial !!"

แต่ใครเคยคิดไหมครับว่า "ในเชิง Financial ซึ่งตลาดเราเล็กมากๆ แต่ในเชิงทรัพยากร และจำนวนคน (เกือบ 70 ล้านคน ส่งออกข้าว และยางพารา อันดับหนึ่งของโลก) ...คุณคิดให้ดีว่า มูลค่าที่ฝรั่งมันให้กับประเทศเรา กับ มูลค่าที่แท้จริง มันต่างกันสุดขั้ว"

(เมื่อ ป๋าหยง และ ภาววิทย์ สนทนาธรรมกันเสร็จ เราก็ออกไปหา ก๋วยเตี๋ยวกิน) ฮ่า ฮ่า ฮ่า

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

เอา TOP กับ PTT มาคลุกรวมกัน "เป็นพิซซ่าเป็ด"

(กราฟนี้ พี่ใหญ่ของกลุ่ม PTT )

(กราฟนี่ พี่รอง "โรงกลั่นหัวหอกของกลุ่ม TOP")


เอาหุ้นสองตัวนี้มาให้ดูว่า จัวหวะเวลาการเข้าตลาด ของหุ้นส่งผลต่อ ราคาอย่างมาก ..ตัวแรกที่ยกขึ้นมาให้ดู ทุกคนรู้จักดี PTT (ถ้าขืนไม่ได้เอาหุ้นตัวนี้เข้าตลาด ป่านนี้ SET ยังวิ่งอยู่ไม่เกิน 400 จุด)

จุดที่อยากให้ดูกันคือ ผมตัดค่าเฉลี่ยใหญ่ Regression พบว่าหุ้นทั้งสองตัวนี้มี Trend ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวนึงขึ้น อีกตัวลง ..."คุณรู้ไหมสิ่งที่ทำให้ภาพของหุ้นทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง มันเป็นเรื่องของ ฮวงจุ้ย!!!" (ใช่แล้ว ....) มันเป็นจังหวะและเวลาที่เข้าตลาด เลิกงาม ยามดี มีเคราะห์ หรือไม่!!

PTT เข้าตลาดวันแรก วันที่ 6 ธันวาคม ปี 2544 ซึ่งตรงกับมี มะโรง (มังกร !! ผงาดฟ้า.. ) เกี่ยวอะไรวะเนี่ย (ขำขำ) ..เอาเป็นว่า ผมจะชี้ให้เห็นว่า ปีแรกที่ี PTT เข้าตลาดที่ราคา 30 บาท เป็นห้วงเวลาที่เลวร้ายของธุรกิจพลังงาน ...ผมขอยกอีก กราฟนึงคือ หุ้น PTTEP (เนื่องจากเข้าตลาดนานที่สุด)จึงเอามาเป็นตัวเปรียบเทียบ Benchmark Cycle ของพลังงาน

จะเห็นได้ว่า ปีที่ PTT เข้าตลาด ปี 2001 เป็นการเข้าในช่วงขาลงของธุรกิจพลังงาน ทำให้เรา IPO ณ เวลานั้น "ถูกเป็นก๋วยเตี๋ยว" (คนที่ตุนหุ้นไว้เวลานั้น รวยกันใหญ่) ..ต่อมาปี 2005 เป็นช่วงที่เฟื่องฟู ของธุรกิจพลังงาน ..คนที่เอา TOP มา IPO ก็รวยอีก (แต่ถ้าใครถือ TOP จนถึง Sub prime กำไรก็จะหายหมด "แต่คุณไปเปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ดู พวกขาใหญ่ไปกันหมดแล้ว" ..ปล่อยพี่เม่า ติดกันนัว)..เอ๋อ!! ว่าแต่ช่วงหลังๆมานี่เขากำลังเก็บๆพลังงาน กันอย่างเมามันส์ ขณะที่รายย่อยไปกระจุกอยู่ในหุ้น TRUE (เฮ้อ!! พี่เม่าบ้านเรา หลอกไปทางไหนก็ไป ว่าง่ายจัง!!)

โอเค ..จากกราฟหุ้นทั้งสามตัว ที่ผมยกขึ้นมา "มันบ่งบอกอะไรเรา" (ใช่แล้ว) มันคือ Timing และ Trend เป็นส่วนที่สำคัญมากต่อการทำกำไร บางทีสำคัญกว่า กลยุทธ์ในการเล่นเสียอีก -- (ถ้าสังเกตให้ดี เราจะเห็นได้ว่า กลุ่มธุรกิจพลังงานซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุดในตลาด แท้จริงแล้ว มีแนวโน้มที่ไปในทิศทางเดียวกัน เพียงแต่สิ่งที่ลวงท่าน ก็คือ ช่วงจังหวะในการเข้าตลาดของกิจการแต่ละตัว)

ดังนั้น ถ้าเอา PTTEP เป็นตัวตั้งในการ Benchmark เพื่อเปรียบเทียบตัวอื่นในกลุ่มพลังงาน คุณก็จะเห็นแนวโน้มของราคา "คำถามที่หลายคนคิดในใจ คือ แล้วจากนี้ไป หุ้นกลุ่มนี้จะไปอย่างไรต่อ" (จริงๆตอบไม่ยากเลย)

หากใครสังเกตการขึ้นลงของกลุ่มพลังงานจะมีทิศทางเดียวกับ SET เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีธุรกิจ เกี่ยวเนื่องกันเป็นปม (เหนียวแน่นมาก) เพียงแต่ แต่ละตัวจะทำหน้าที่ีต่างกัน ยกตัวอย่าง PTTEP ก็เป็นเสมือนตัวทำเงิน (ซึ่งคล้ายกับกลุ่ม CP ที่เอา CPF เป็นตัวทำเงิน "ปันผลน้อยหน่อย เอากำไร ไปลงทุน จุนเจือในกลุ่ม สรุป ก็คลุกๆกันไป ) อย่าง TOP ก็เป็นธงนำทางด้านโรงกลั่น ซึ่งจุดนี้ ใครนึกว่าไม่สำคัญ "ผมบอกเลย มันคือ ความมั่นคงของประเทศ" (คิดดูละกัน พรุ่งนี้ถ้าไม่มีน้ำมันใช้ เมืองไทยลุกเป็นไฟแน่ "จะมีคนเผายางอีกเยอะ หุ หุ ..สรุปมันสำคัญสุดขั้ว !!) ..อย่าง BCP ก็ธงนำทางด้าน โลกสีเขียว สรุป กลุ่ีมนี้แข็งโป๊ก มีทั้ง Cash cow รวมทั้งหนูทดทองทางวิทยาศาสตร์

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก็มักมีปันผลที่ดีเสมอ "คุณคิดว่า เกมนี้คืออะไร(เอ๋ !! สิ่งที่คุณเห็นกับความเป็นจริง มันรู้สึกว่า ห่างไกลกันคนโลกเลยนะเนี่ย)" สมัยก่อนน้ำมันราคาต่ำสุดขีด แต่จากนี้ไป "มันคนละเรื่อง" ..ปี 2008 มันเป็นแค่ช่วง Panic สิ่งที่ผมอยากจะชี้ก็คือ "สกุลเงินห่วยๆที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก เริ่มจากห่วยที่สุดคือ ยูโร ตามมาด้วย ดอลล่าห์" (มูลค่าเงินกระดาษ พวกนี้ในไม่ช้าคุณจะเห็นว่า inflation ที่แท้จริงมันคืออะไร)

ส่วนตัวผมให้ค่า Commodity ว่า"มาแน่"-- ตั้งแต่น้ำมัน, ทอง และ ของที่จับต้องได้จริงๆ พืชผล เหล็ก น้ำตาล -- "นี่แหละคือมูลค่า" ช่วงนี้ปล่อยให้การเมืองและนักปั่นมั่วกันไปก่อน แต่อีกไม่นานหรอกครับ คุณได้เห็นอะไรดีๆแน่

เอาเป็นว่า ผมฝากกลุ่ม "พี่ใหญ่อย่าง PTT Group" ไปช่วยกันวิเคราะห์ ดูกันเล่นๆ แต่อย่าเล่นนานนะครับ เพราะท้ายสุด ราคาหุ้น จะสะท้อนความเป็นจริงเมื่อบ้านเมืองเริ่มนิ่งจริงๆ "และเมื่อนั้น สนุกแน่!!"

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเหงาของราชาเพลงหุ้น "ราชันย์ผู้เดียวดาย"


น้อยคนนักที่จะเลือกทางเดิน ในการเป็น Trader โดยเฉพาะ Commodity Trader เพราะมันเป็น ชีวิตการทำงานที่เริ่มตั้งแต่ "เที่ยงวัน" ยัน "เที่ยงคืน"(คือ ซื้อขายตามเวลาตลาดต่างประเทศเปิด) จะว่าไปแล้วอาชีพ Commodity Trader เป็นอาชีพที่ "ได้บุญ" ...อ้าว!!ไหง เป็นงั้นล่ะ (มันเป็นไปแล้ว...)

อย่างแรก ถ้าคุณเป็น Trader คุณอดไปเที่ยวกลางคืน ส่งผลให้คุณห่างไหลจากแหล่งมั่วสุม "คุณจะสุมอยู่กับหุ้นแทน ซึ่งตัวเลข ยิ่งสุม ยิ่งทำให้สตินิ่ง จนบางครั้งเราต้องไปเอาลูกประคำมานั่งนับ ..อิ อิ" (สติแตก!!)

อย่างที่สอง คุณอดกินเหล้า "ยกเว้นคุณเรียนวิชา หมัดเมา มาจากเฉินหลง (แต่ไม่แนะนำอย่างยิ่ง !!)"

..แค่สองข้อที่กล่าวมา มันก็ได้ "บุญ"มหาศาลแล้ว -- ดังนั้น ถ้าวัยรุ่นคนนึงเลือกทางเดินในสาย Commodity Trader มันก็คือ สิ่งที่แปลกจากธรรมชาติของวัย ซึ่งความแปลกนี้ สามารถเปลี่ยนเป็นความ Unique "เข้าตำราเก่งในสิ่งที่คนอื่นไม่เก่ง" (รึเปล่า)

ในอีกมุมโลก มีกลุ่มคนอายุเท่ากัน ซึ่งเขา Trade หุ้นตามเวลาปกติ เพราะตลาดต่างประเทศเปิดในเวลาทำการทั่วไป ดังนั้น อาชีพ Commodity Trader ในต่างประเทศ จึงไม่ได้ทำให้ "ฝรั่ง" มีความแตกต่าง ..ในทางกลับกัน มันทำให้คนไทย "ต้องมีความแตกต่าง" ซึ่งประเด็นนี้ผมมองว่า เป็น Key Success Factor ของอาชีพ (ความแตกต่าง !!)

การที่คุณจะเก่งในด้านใดก็ตาม ในประเทศหนึ่งๆ -- มันขึ้นกับว่า บทบาทที่คุณเลือก มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ดีหรือไม่ ต่างหาก...( แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับว่า บทบาทนั้นๆมีความสำคัญ ในเศรษฐกิจหรือเปล่า เพราะถ้า "ไม่มี" มันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม !!)

สมัยก่อน ผมเฝ้าดู การสร้าง Competitive Advantage ของพ่อแม่ชาวจีน ที่สร้างตัวจากมือเปล่าแล้วรวย -- ก็มองหาจุดต่างให้กับลูกหลาน โดยการส่งไปเรียนในต่างประเทศ ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนั้น ก็ก่อให้เกิด "กลุ่มชนชั้นนำในสังคมเรา" (ผู้คุมตำแหน่งสำคัญๆ ที่เรียกได้ว่าเป็น Key Person ของประเทศ)

กลุ่มนักเรียนนอก (รุ่นของพ่อและแม่ผม) กลับมาเป็นผู้นำองค์กรใหญ่ๆ และนักการเมืองมากมาย...ซึ่งสิ่งนี้เองได้กลายเป็น บรรทัดฐานในการสร้างความแตกต่างให้กับลูกหลานรุ่นต่อไป (และต่อไป)..โดยการ "เรียนนอกและเรียนให้สูงที่สุด" ..จนวันนึง บรรทัดฐานได้แปลเปลี่ยนมาเป็น Common Ground "มันได้กลายมาเป็น Basic Requirement ของคนรุ่นใหม่...ที่ต้องเก่งรอบด้าน"

และแล้ว สังคมแห่งการแข่งขันที่สุดโต่งในทุกๆด้าน ก็ได้นำเราเข้าสู่ยุคนี้ "ยุค The Winner take all !!" ..หลายคนมองว่ามันเยี่ยม เพราะ ผู้ชนะในสายอาชีพต่างๆ จะเป็นผู้ Control ทรัพยากร (ซึ่งก็คือเงิน) เกือบทั้งหมดในสายอาชีพนั้นๆ ..เหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวของ "เศษเงิน"... ให้กลุ่มคนส่วนใหญ่ ทั้งการศึกษาสูงและไม่สูง ให้แย่งกัน อยู่ในองค์กรธุรกิจ ที่นับวันจะเล็กลง ลีบลง ภายใต้ Slogan ที่สวยหรูที่ว่า Lean Management , Just in time , Outsourcing

(จาก Trader เหงาๆ เดินทางไปสู่ยุคของ The Winner take all !!) -- มันคือ จุดเชื่อมโยง สู่เป้าหมายของการลงทุน เพราะท้ายที่สุดแล้ว "มันวัดกันด้วยผลงาน หรือ Real Performance" ...คุณโตยาก ในสังคม ที่จำกัดโอกาสในการแสดงความสามารถ --ถูกแล้ว!! องค์กรใหญ่ๆ สอนให้คุณรอ !!-- และฟันคุณในเวลาที่เขามีทางเลือกที่ดีกว่า (ผมกำลังพูดถึง โอกาสในการแสดงฝีมือ ในสถานที่ที่มีแต่คนเก่ง ทำให้ คนเก่งอาจดูไม่เก่งก็ได้ ...ประเด็นที่สำคัญ คือ การที่เรารู้จักเลือกสถานที่ ในการแสดงความสามารถต่างหาก)

คุณอาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด "แต่เวทีที่คุณเลือก มันควรเป็นเวทีที่คุณถนัดที่สุด ...เพื่อที่จะสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่" และนี่ก็คือ หัวใจของการเดินทางสู่ความเป็น "ราชันย์ผู้เดียวดาย" (สิงโตเหงา หุ หุ หุ)

เส้นทางที่สุขที่สุด คือ เส้นทางที่คุณกำหนดมันเอง ....ความรู้ที่คุณเชี่ยวชาญที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่สถาบันที่ดีที่สุดจะให้คุณได้ แต่มันเกิดจากที่คุณเลือกที่จะศึกษา ในแนวทางที่คุณสามารถจะเข้าใจได้ลึกซึ้งที่สุดต่างหาก และนี่คือความเข้าใจที่เกิดจาก "ปัญญา"..เพราะคุณเลือกที่จะเชียวชาญในสิ่งที่คุณรัก !! --- (การท่องจำ ถึงมันเป็นความรู้ที่สถาบันส่วนใหญ่ยอมรับ มันไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จ เพราะชีวิตถูกกำหนดโดยทางเดินที่ยาวนาน(มากกกกก....) --- ดังนั้น การทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบ มันคือความล้มเหลวตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณเดิน !!).....อาชีพที่มันส์ที่สุด คือ อาชีพที่คุณสร้างมันขึ้นมาเอง (เท่ห์ อะเปล่า!! สร้างงาน มิใช่หางาน !! ) ..และรายได้ที่คุณภูมิใจที่สุด มันคือรายได้ ที่คุณสร้างจากสิ่งที่คุณชอบและถนัดที่สุดนั่นเอง

สู้ต่อไป Trader หยง "ราชันย์ผู้เดียวดาย" ผู้ก้าวสู่ความฝัน ในทางเดินที่ตัวเองชอบ และนั้น "คือความสุข !!" (ใช่ป่าววะ อิ อิ อิ)

และสู้ต่อไป ..นักลงทุนที่เดียวดาย ผู้กำหนดทางเดินชีวิตของตัวเอง "คุณเท่ห์มาก!!"

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

คนนึง "เก็บหมู" อีกคน "ขายหมู" สมดุลย์หุ้น



"หุ้นมักมีเจ้า" อิ อิ หรือ บางคนจะเรียกหุ้นไทยว่า "หุ้นเจ้าเข้าก็ได้" ...จริงๆมันเป็นปรากกฎการณ์ ของคนโง่ หากินกับคนโง่ --ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง เกม Lose - Lose (หรือ ต่างคนต่างแพ้ในตลาดหุ้นไทย)

ผมย้อนรอย Case การปั่นหุ้นประวัติศาสตร์ หลายตัว พบว่า "บ้านเราแทนที่จะเป็น Win - Win มันกลับเป็น Lose -Lose" --ใครเคยดูเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ยกมือขึ้น (ผมกั๊บ!!)

ไอ้ที่ว่า Lose - Lose หรือต่างคนต่างแพ้ ..มองให้ดีซิครับ ว่าถ้าแพ้ทั้งคู่แล้วใครเสียมากกว่า "ใช่ครับ คนที่มีเงินมากเสียเยอะกว่า" ดังนั้น ผมมองว่า ประเด็นนี้รายย่อยฟังแล้ว "ยิ้ม" (คิดในใจว่า มึงปั่นมาเลย ..ปั่นเสร็จ โดนเพื่อนหักหลัง แทนที่จะได้เงิน กลับเก็บหมูกลับบ้าน ...พอเอาหมูกลับไป ก็ลืมว่าที่บ้านไม่มีตู้แช่ (คือเงินมันร้อนน่ะ) สรุปโดน Force Sell "เจ๊ง..ครับ") ...จะว่าไปเจ้ามือไทย ก็ใช่จะน่ากลัว บางครั้งน่าสงสารด้วยซ้ำ กั๊ก กั๊ก

มาคุยเรื่อง "เจ้ามือจีน" กันดีกว่า ..ธรรมชาติคนจีน นักพนัน (หมดหน้าตัก) ไม่หมดตูดไม่เลิก นี่แหละนิสัยคนจีน ..ใครตามดู ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ จะเห็นได้ว่าราคาผันผวนกว่า H-Share (ซึ่งจริงๆแล้วเป็นบริษัทเดียวกัน แต่ซื้อขายในฮ่องกงมาก) ..จุดนี้ชี้อะไร!! -- ถูกต้อง มันชี้ถึงความกล้าเสี่ยง "ความเป็นนักพนันและนักเก็งกำไรของคนจีน" ...ถามว่าจุดนี้มันดีกับใครล่ะ

แน่นอน ..มันดีกับ Trader เพราะการเล่นหุ้นแบบนักพนัน จะส่งผลให้ เวลากำไร ก็กำไรสุดโต่ง พอขาดทุนก็เจ๊งเละเทะ "มันยอดมาก..อิ อิ เนื่องจาก การ Trade แบบนักพนัน จะส่งผลให้ Trend ในการขึ้นลงค่อนข้างชัดเจน

มาคุยเรื่อง "แขก" ..เป็นไง แขกนี่ขี้เหนียว ฉลาดเป็นกรด "ถ้าเทียบชาวจีนว่าเก่งแบบนักเก็งกำไร ชาวอินเดียก็เก่งแบบนักวางแผน ..จุดที่ต่างกัน ก็คือ ความเร็วในการทำกำไร -- พูดง่ายๆก็คือ คนจีนกินสั้น ส่วนแขกเขามองยาว

ถึงจุดนี้หลายคนคง งง เรื่องขายหมู ซื้อหมู มาเจอคนจีน แล้วเจอแขก "เกี่ยวอะไรนี่ !!" ..(เกี่ยวซิครับ) -- ตลาดหุ้นในบ้านเราเจ้าของบริษัท จีน กับ แขกนี่ ฮึม "มันส์" -- คนนึง เอาไว้เล่นเก็งกำไร อีกคนเอาไว้ลงทุนแบบ Value

วันนี้ฝากปัจจัย การแกะสมองเจ้าของกิจการ ไปเป็นอีกเรื่องในการลงทุน เพราะลักษณะของการเก็บหมู และขายหมู รวมทั้งการซื้อขายของเจ้า "คุณดู(เจ้าของ)ให้ดี ..ถ้าคุณบอกว่า คุณดูไม่ออก (อย่าเพิ่งลงทุน) เดี๋ยวได้โกยหมูกลับบ้าน ไปกินจนเน่าอยู่ เพียงผู้เดียว.. หุ หุ"

"(หุ้นเจ้าเข้า) ต้องรู้จักเจ้า ฮ่า ฮ่า " ดังคำ ซุนวู "รู้เขา รู้เรา รบร้อย ชนะร้อย"

แต่ถ้าชนะขั้นสุดยอด คือ "ชนะทั้งที่ไม่ได้รบ" (สรุปไม่ต้องเล่นหุ้น!!) อ้าว!! ชัก งง ตัวเอง ไปดีกว่า อิ อิ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

คนรวยชอบซื้อของถูก จริงหรือ (Trader คิดว่าไง)



อ่านข่าวเจอ Carlos Slim (เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ที่เพิ่งแซงหน้า Bill Gates ในปี 2010 นี่เอง) คือ มีข่าวแกซื้อ Real Estate ใน The Fifth Avenue (New York) ....เป็นการซื้อ Townhouse ที่แพงสุดโต่งคือ 44 ล้านเหรียญ .."นึ่จึงเป็นที่มาของการพูดคุยระหว่าง ผม กับ Trader หยง ว่า (เศรษฐีชอบซื้อของถูกหรือแพง กันนี่)"

ก่อนพูดถึง "ความรวย" มาคุยเรื่องตลาด real estate ในอเมริกากันนิดนึง เนื่องจากปัจจุบัน อัตราการว่างงานสูง ทำให้บ้านถูก Foreclosures มากมาย นั่นเป็นการ Push ตลาดให้คนมาเช่าบ้านอยู่มากขึ้น (จุดนี้จะส่งผล ดีต่อราคาบ้านเช่า ..และคนที่ยังมีเครดิตดี) เพราะเมื่อราคาเช่าเพิ่ม ก็จะส่งผลให้ Yield ผลตอบแทนในการลงทุนใน Real Estate เพิ่มขึ้น กลายเป็นการสร้างสมดุลย์ให้ตลาดของมันเองในที่สุด (เพราะ Cycle ของบ้าน "ราคาบ้าน" และ "ผลตอบแทนการซื้อบ้าน"ก็หมุนตาม Demand & Supply)

แต่ในระยะสั้น ก็ไม่ได้ชี้ว่าราคาบ้านเช่าจะขึ้ันได้มากเท่าไหร่ เพราะยังมี ความกดดันจาก Demand ที่เพิ่งจะเริ่มขยายตัวเท่านั้น ...หากมองลึกๆจะเข้าใจว่า อย่างสังคมอเมริกา คนหนุ่มสาวมักจะย้ายออกจากบ้าน มาอยู่เอง ซึ่งต่างกับคนไทยที่คนส่วนใหญ่จะอยู่กับพ่อแม่ (ดังนั้นประเด็นการซื้อบ้านของแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกัน ตามสภาวะสังคม ...อย่างอเมริกา ก็ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก ซึ่งหมายถึง มันเกี่ยวพันกับ สภาวะการจ้างงานอย่างมาก ..แต่ในส่วนของไทย อาจจะเป็นหนังคนละม้วน ซึ่งสถานะการเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังผูกติดกับพ่อแม่อยู่มาก)..น่าสนใจไหม อิ อิ

เอาเป็นว่าประเด็นของคนทั่วไป จะต่างกับเศรษฐีมาก ...อย่าง Carlos Slim หากเรามองให้ดีแล้ว เขาไม่ได้มองอย่างคนทั่วไป ที่ต้องมองผลตอบแทนการลงทุนให้คุ้มค่าที่สุดในระยะสั้น(เน้นว่า "ในระยะสั้น") เนื่องจากมีทรัพยากร(เงิน)จำกัด ซึ่งจุดนี้ลึกๆเป็นการปิดกั่นโอกา่สที่จะมอง ภาพการลงทุนในระยะยาวได้ขาด!! ....ในส่วนของเศรษฐีอย่าง Carlos Slim หลายคนอาจมองว่า เขาชอบซื้อของแพง "แต่จริงมันไม่ใช่เลย"

"เศรษฐีชอบซื้อของถูกต่างหาก!!" (ที่ว่าถูก) -- จริงเขาซื้อแพง แต่ประเด็นคือ สินทรัพย์ที่เขาซื้อมันเป็น Prime Asset ที่เขาสามารถนำไปขายได้แพงกว่าที่เขาซื้อ ให้กับเศรษฐีคนต่อไป (คุณเห็นไหมละครับ ว่าจริงๆ เขาซื้อของถูกต่างหาก .."ไม่ใช่ซื้อแพงอย่างที่เราคิดกัน")

ต่างกับคนจน ที่คิดแล้วคิดอีก ไปซื้อคอนโด สุดถูก(ด้วยทรัพยากรที่จำกัด อย่างช่วยเหลือไม่ได้) แต่ปรากฏว่า ซื้อมาถูก (แต่คอนโดมันห่วย บางทีน้ำไม่ไหล ไฟดับ ขยะเหม็น) ..สุดท้ายต้องขายทิ้งในราคาที่ถูกกว่าเดิม -- สรุปแล้ว คุณดูให้ดีว่า จริงๆแล้วใครซื้อถูก แล้วใครซื้อแพงกันแน่!!

ปัญหาของระบบทุนนิยม มันไม่ได้เป็นปัญหามิติเดียวอย่างที่เรามองกัน "มันเป็นหลายมิติ" เพราะความสามารถในการสร้างความมั่งคั่งของ ระบบที่ยึดหลัก The Winner take all นี่คือ -- คุณยิ่งขึ้นสูง คุณยิ่งมีโอกาสในการทำแต้ม(ทำเงิน) มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างตลาด Real Estate ในอเมริกาที่ตลาด Mass แบบบ้านของคนชั้นกลาง จะประสบปัญหาอย่างหนักก็ตาม ..แต่ในอีกด้าน ตลาดที่ Slim Carlos เข้าถึง มันกลับรุ่งโรจน์ อย่างสุดขีด !!

อย่างในเมืองไทย ถ้าเราอยากศึกษา ลองสังเกต สินทรัพย์ที่เศรษฐีที่เขาซื้อๆขายๆกัน ซิครับ ดูซิว่าเขาซื้อเขาขายอะไรกัน แล้วคุณจะเห็นว่า สิ่งที่เรารู้ๆอยู่ มันอาจเปลี่ยนความคิดของคุณไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

เอาวิ่งแบบเจ๊ดสกีของ ฮั่งเส็งอินเด็ก (ฮ่องกง) มาดูดิ!!



"ฮั่งเส็ง index" เอามาดูทำไม..มันต้องมีเหตุผลซิ (ใช่แล้ว) ปี 2009 ใครที่โต้คลื่น "เล่นหุ้น"สวนกระแส เศรษฐกิจอย่างพวกเราจะทราบดี ว่าปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นลงตามตูด ฮ่องกงตลอด "แต่ปีนี้ SET ผ่านทะลุแนวต้านสำคัญไปแล้ว แต่ฮ่องกงยังไม่ไปไหน"

เอาเป็นว่าภาพที่ออกมา มันบอกว่า ตลาดเรามันเริ่ม "ร้อนแรง" นั่นเอง

ภาพของฮ่องกง จริงๆก็คือ Off Shore ของจีนแผ่นดินใหญ่นั่นเอง ..สาเหตที่ตอนนี้ฝ่อๆ ไปก็เพราะรัฐบาลจีน แตะเบรก ...ซึ่งถ้ามองในแง่ดี "มันก็ดี"-- เพราะมันช่วยลดความร้อนแรงของ Bubble

"ใช้แล้ว ผมพูดว่า Bubble" มันเป็นสภาพของเศรษฐกิจของจีน ในหลายๆ Sector โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Real estate (ในเมืองใหญ่ๆ ราคาบ้านพุ่งขึ้นมหาศาล เรียกได้ว่าเลยจุด Affordable ของคนขั้นกลางไปนานแล้ว) แต่จุดนี้ไม่ได้หมายความว่า Bubble จะแตก -- "มันยังไม่ถึงขั้นนั้น"

ถ้าจะให้เปรียบเทียบ การที่ Bubble จะแตกมันต้องดูอย่างอเมริกา(เป็นตัวอย่าง) --ในตลาด Sub prime คือ ที่มันเกิดปัญหาเพราะมันมาจากการกู้.... easy credit มันเป็นตัวเร่งปฏิกริยา เพราะเมื่อกู้ง่าย -- ราคาบ้านก็พุ่งอย่างมหาศาล (ดูในคลังบทความ ผมเคยเอาเรื่อง ข้อมูลราคาบ้านในอเมริกามาใส่ให้ดูแล้ว) ..ดังนั้น อเมริกา Bubble ตั้งอยู่บนหนี้ ซึ่งมันเหนือกว่ารายได้ไปอีกขั้นนึง "นั่นก็คือ มันโคตร Bubble" (เพราะราคาบ้านอเมริกามันวิ่งมาเหนือ ความสามารถในการกู้ ไม่ใช่ความสามารถในการสร้างรายได้จริงๆ ..เน่ามาก!! "นี่และพวกบ้า Leverage")

ถ้าคุณมามองในไทย เราก็ยังไม่ถึงขั้นของอเมริกา แต่การก่อตัวของ Bubble มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นเล็กๆ .."ประเด็นหลัก ผมว่าคุณต้องมองว่า ถ้า Bubble ตั้งอยู่บนฐานของหนี้ หรือ Mortgage มันถึงจะชี้ถึงสัญญาณอันตราย" ดังนั้น เมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในระดับกลางๆ คนยังไม่ได้กู้บ้านอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งจุดนี้ ผมกลับมองว่า มันเป็นช่วงๆของ Generation (เพราะถ้าเรามองลึกๆแล้ว เศรษฐกิจไทย ยังคงตั้งอยู่บนฐานของกลุ่ม Baby Boomer อยู่ ดังนั้น โอกาสที่เราจะ Default ในหนี้บ้านเป็นวงกว้างเหมือนอเมริกา ..มันยังคงเป็นภาพที่ยังห่างไกล -- "เพราะคนไทยถ้าลูกจ่ายไม่ไหว พ่อแม่ก็ต้องเข้ามาช่วย ...ซึ่งภาพแบบนี้ไม่มีในอเมริกา" ) ..ฝันธง 1- 2 ปี ข้างหน้า Real estate ไทย ยังไปได้ต่อ

เอ๋อ!! แต่ผมไม่ได้แนะนำให้ซื้อลงทุนนะ ..คือ "ซื้ออยู่เอง"ยังพอไหว แต่ถ้าตอนนี้คุณซื้อกะเก็งกำไร ผมว่า "ไม่คุ้ม" (จุดนี้คุณต้องตี ประเด็นให้ชัด) ในฝั่งของผู้ประกอบการ Real estate ก็เช่นกัน ..ใครที่เพิ่งจะมาลงทุนหนักๆตอนนี้ ผมไม่เล่นด้วยอ่ะ น่ากลัวครับ!!

อย่างเมืองจีน ก็คล้ายๆไทย แต่จะแย่กว่า ตรงที่ความแตกต่างระหว่าง ชนชั้น -- ดังนั้น ปัญญาของการ Affordable มันเป็นการจุดประกายความแตกต่างของชนชั้น ซึ่งเป็นปัญหาสังคม มากกว่า ในมุมของเศรษฐกิจ ..เพราะถ้าดูลึกๆแล้ว จีนยังมีคน ที่สามารถมีเครดิตกู้ธนาคารได้ ยังมีน้อย (เมื่อเทียบกับประชากร)

โห!!คุยจาก ฮ่องกง หลุดไปจีน กลับมาไทย เอาเป็นว่า "เล่าสู่กันฟัง ผ่านสายตา คนปล่อยกู้(นายธนาคาร)อย่างผม อิ อิ"

จำไว้ "ซื้อลงทุน มันเริ่มอันตรายแล้วนะครับ ...มีช่องทางอื่นที่น่าสนใจกว่าเยอะ อิ อิ"

จุดเชื่อมโยงของเงินทุนระหว่างตลาด "ขึ้นกับ Opportunity"



(จากกราฟตลาดหุ้นไอ้กัน S&P 500) ถ้าใครมองเทียบกับตลาดหุ้นไทย มันคือ "คนละ Story" ...เรา Run Regression (ตั้งแต่ปี 2006 -ปัจจุบัน ) คุณจะเห็น Trend ของลงของอเมริกาอย่างชัดเจน และยังไม่มีทีท่าว่าจะขึ้น (มองขำขำ ก็เหมือน"เส้นมิติของราคา" ในตลาดอเมริกา กำลังเล่นรถไฟเหาะในขาลง "เกาะแน่นๆพี่น้อง")

แต่เท่าที่เราดู เรื่องราวมหัศจรรย์ ที่อเมริกาพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการ "ปั๊มเงินอัดเข้าระบบ" หรือ นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกอย่างชี้ไปทางเดียวนั่นคือ "ลดค่าเงินดอลล่าห์(ให้อ่อน!!)" ซึ่งแน่นอนซวยกันทั่วโลก (เมืองไทยก็หนีไม่พ้น..แล้วตลาดหุ้นล่ะ อิ อิ )

ตลาดหุ้นจริงๆมัน เชื่อมโยงกัน อย่างไทยขึ้นมาค่อนข้างมาก คือ ถ้าหากอเมริกา ไม่ไปไหน ก็อาจทำให้หุ้นไทยปรับฐานลงมา แต่เท่าที่ดู ไม่น่าจะต่ำกว่า 750 จุด (แต่ไม่มีใครสามารรู้ว่า Time Frame ในการปรับฐาน ถ้ารู้ไปเป็น Soros แล้ว ..กั๊ก กั๊ก) เอาเป็นว่าอเมริกา ตลาดหุ้นน่าจะร่วงถึงจุดหนึ่ง แต่น่าจะวิ่งซึมๆ อยู่ประมาณ 1,000 + - (บวก ลบ) อีกนาน (ยกเว้นแต่อเมริกา จะสร้างเรื่องราวใหม่ มาขาย เหมือนอย่าง "Dot Com Boom" คราวก่อน)

ดังนั้นจุดเชื่อมโยงระหว่างตลาดเรากับอเมริกา ก็น่าจะอยู่ที่ โอกาสในการทำกำไรระยะสั้น เช่น ถ้าเงินบาทเราแข็งมากๆ แล้วเงินทุนที่ฝรั่งเอาเข้ามาแล้วกำไรจากหุ้นด้วยในระดับหนึ่ง ..โอกาสของเงินทุนฝรั่ง ก็คือซึ่งถ้าอยู่ดีๆ S&P 500 กระชากลงมาต่ำกว่า 1,000 จุด ก็อาจมีการโยกเงินในระยะสั้นออกจากตลาดไทย ไปเก็งกำไรระยะสั้นในอเมริกา (หรือตลาดอื่นแล้วแต่ Opportunity ของ "หนึ่ง ค่าเงิน และ สอง Capital Gain ในการลงทุน")

แน่นอนภาพในระยะสั้น มันก็จะค่อนข้าง "บ้าๆบอๆอย่างนี้ไปอีกระยะนึงเลย" จนกว่าความเชื่อมั่นของ "เงินนอนที่อยู่นอกระบบ($ 1.8 trillion) จะเริ่มเปลี่ยน Trend(ซึ่งจุดนี้หมายความว่า เมื่อคนส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกเซ็งกับสภาวะที่ อึดๆ ก็อาจเริ่มโยกเงินมาลงทุนบ้าง จนในที่สุด ก็อาจแปรเปลี่ยน เกิดเป็นกระแสหลักกลับเข้ามาลงทุนอีกหนึ่งครั้ง) ..."เมื่อจุดนั้นมาถึง" ผมมองว่า Opportunity ของเอเชีย "น่าสนใจกว่า"

ดังนั้น ในภาพใหญ่ผมก็ยังมองหุ้นไทยขาขึ้นอยู่ดี "เป็นภาพที่หวานหมู แต่ขัดใจหลายๆคนที่ ไม่ยอมลงทุนเอามากๆครับ อิ อิ"

มองแบบTrader ในมุม Value Investor กับ "ตลาด SET"



"มองแบบTrader ในมุม Value Investor " เป็นมุมมองของการ Combination ที่เรา เอามาใช้มองในภาพใหญ่ ...เราลาก Regression ในภาพใหญ่ของตลาดหุ้น เพื่อหาแนวค่าเฉลี่ยที่สำคัญ (เราชาว Monkey Trade อาจมองเส้น Regression ต่างไปสักนิด --เรามองว่ามันเป็นเส้นมิติของราคา หรือ "เส้นขงจื้อ" คือเวลาราคา มันวิ่งหนีเส้นทางสายกลางไปเท่าไหร่ ในที่สุดมันก็ต้องดีดกลับมาแรงนั่นเอง)

(จากกราฟเส้นมิติของราคา)--ก็ตัดไป .."อะ โชะ เด๊ะ เจอกับจุดประมาณ 750 จุด" ..ซึ่งมัึนหมายความว่าตอนนี้ มันได้ทะลุแนวค่าเฉลี่ยของตลาดใน Scope ใหญ่ 15 ปี (ซึ่ง "แนวต้าน"ก็ แปรเปลี่ยนเป็น "แนวรับ"ที่สำคัญไปแล้ว .."ถ้าเดี๋ยวเราได้มีโอกาสเห็น 750 อีกในอนาคตไม่ไกล มันหมายถึง "รับเละ ..มีเท่าไหร่ ตูใส่หมด" อิ อิ)..เอ๋!! ปีนี้อาถรรพ์ ตุลา จะมีอะไรให้เราเห็นไหมน๊า ??

จากนั้น เราได้ลากเส้น Trend line (ตัดสองจุด Peak ของตลาด) เพื่อหาแนวต้านที่สำคัญ ก็มา "อะ โชะ เด๊ะ เจอกับจุดประมาณ 750 จุด" อีกเช่นเคย !! .. จุดนี้ทำให้เราชาว Monkey Trade ถึงกับ "น้ำตาไหลพราก" ว่าตลาดหุ้นเราได้ทะลุแนวต้านสำคัญในภาพใหญ่ขึ้นมาแล้ว

จุดนี้หลายๆคนอาจมี คำถามในใจแล้วว่า ..มันหมายความว่า "ตกลงเราจะพุ่งแรง ทะลุทะลวงต่อไปใช่หรือไม่" -- "เอ๋อ!!ไม่ใช่" (เพราะแน่นอนในการขึ้นมันก็ต้องมีการปรับฐานอยู่เป็นระยะแน่นอน) แต่ประเด็นที่เอาภาพใหญ่มาวิเคราะห์ในมุมของ Trader + Value ทำให้เราเห็นภาพใหญ่ของตลาดว่า "ต่อจากนี้ไป มันคือ Trend ในขาขึ้น"

(จากกราฟ) เราเริ่มจากจุดต่ำสุดของ Elliott Wave ที่จุด C "ช่วงจุดต่ำสุดของวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นเอง" หลังจากนั้น เราจะนับ Wave จะแบบไหนก็ได้ มันไม่สำคัญ (คือตอนนี้จะเป็น Wave 3 หรือ Wave 1.."มันก็ไม่สำคัญ") ภาพใหญ่ที่เราเห็นคือ "ขาขึ้น" ที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม "มันจะขึ้นแบบไหน.. ก็คงต้องรอดูกัน (ขึ้นแบบจรวด / เครื่องบิน / เจ๊ตสกี )..แต่เจ๊ตสกีจะห่วยแตกหน่อย เพราะมันยังไม่พ้นผิวน้ำง่ะ อิ อิ" --- แต่โอกาสที่จะ Correction ก่อนการขึ้นครั้งใหญ่ก็มีโอกาสสูงเช่นกัน (เพราะถ้ามองรอบๆโลกเวลานี้ ดูเหมือน SET จะทำตัวเหมือนจรวด "บั่งไฟ"..ว่างั้น -- ตอนนี้เราวิ่งขึ้นมาดีกว่า ตลาดต่างประเทศและเพื่อนบ้าน ) ฝืนธรรมชาติไปสักนิด ..แต่จริงๆเรา Bull ขนาดนั้นจริงหรือ น่าคิดครับ!!

เอาเป็นว่า "ภาพใหญ่ Confirm Technical เป็นขาขึ้นอีกไกล" แต่ก็ใช่ว่ามันจะขึ้นอย่างจรวด ...ดังนั้น ก็ให้เดินทางอย่างระมัดระวังครับ!!

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)



ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

(ปี 2009 ) คงไม่ต้องเอาข่าวมา Review ให้ดู เพราะผมเชื่อว่า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงวนเวียนในความทรงจำของทุกคน "แบบ งงๆ " นั่นก็คือ เศรษฐกิจไม่เห็นจะดี การเมืองก็แย่ "แต่หุ้นวิ่งเอาวิ่งเอา" ตั้งแต่ปิดสนามบินปลายปี 2008 "นักวิเคราะห์ทุกคนฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า (เน่า)..เมืองไทยเน่า ไม่ได้ผุดได้เกิดแน่"

ผ่านไปเดือนเมษา "ตูม" ปิดเมืองเผาครั้งแรก และ ก็ค่อยมาเผาจริงต้นปี 2010 ...สังเกตเห็นไหมครับว่า "ทุกอย่างดูแย่ ทำไมล่ะ" ก็เพราะสื่อที่เราดูมันบอกว่า "แย่" ดังนั้น ข่าวตลอดปี 2009 มันเลยเป็นข่าวแย่ๆ

แต่คุณรู้ไหม ผมนั่งทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพ ตัวเลขผลประกอยการของธนาคาร มันไม่ได้บอกเลยว่าแย่ เพราะปี 2009 ที่ทุกคนว่าแย่ แต่ธนาคารกรุงเทพทำกำไรได้มากกว่าปี 2008 อีก ..."คือจริงๆมันไม่ได้แย่ แต่ที่แย่คือ ข่าวมันแต่ เผอิญทุกคนดูแต่ข่าว เลยคิดว่าแย่ "คุณก็เลยซวยกันหมด!!" ...ปลายปี 2008 เมืองไทยเรียกได้ว่า "ขายหมูครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์"

จริงกิจการมันไม่ได้เลวร้าย แต่ที่แย่ เพราะคนรู้สึก "กลัว" นี่ไง Fear & Greed มันเข้ามาบิดเบือน กลไกราคา ทำให้ "คนที่มองทะลุ ภาพลวง จึงสามารถ เข้าไปเก็บหมูในตลาดได้"



และนี่กราฟปี 2010 ..หลายคนกำลังกลัวว่า "นี่คือ ยอดดอย..มันจะพังแล้ว รีบหนี!! รีบหนี!!" ...ผมว่าคุณลืมไปหรือเปล่าว่า "History Repeat itself!!" (นั่นก็คือ คุณต้องเข้าใจว่า จริงๆตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน หลังจากตลาด "เลว" มาตลอด 16 ปี (แค่พุ่งมา 2 ปี แล้วคุณจะตีความว่า "ยอดดอย" No No No !! ไม่ ไม่ ไม่ (เร็วไป)

"เส้นทางนี้มันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น อิ อิ อิ " (เริ่มต้นมรณะรึเปล่าฟะ !!...ไม่ ไม่ !!...No No No!!)--It 's call the beginning of Asian Miracle 2 ต่างหาก "พี่น้อง!!"

ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )



ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

- ปี 2000(2543) ปีนี้ยังแย่ต่อ หนี้รัฐแตะ 64% ของ GDP สูงกว่าปี 2010 อีก ปีนี้ตลาดรวมดีขึ้นแต่หุ้นกลับแย่ลงวิ่งจาก 450 จุด กลับมาที่ 300 จุด -- ถึงจุดนี้เราเริ่มเสียวแล้วว่าปี 2010 หุ้นอาจกลับมาแย่ใหม่ ตรงนี้ใครดีใครได้
- ปี 2001(2544) ซวยต่ออีก "9/11" จีนเข้า WTO /ทักษิณ เป็นนายก /กำเนิด Harry Potter ตลาดไม่ไปไหน จาก 300 ลงไป 250 วิ่งไป 340 ลงมา 270 แล้วไปปิดที่ 320 สรุปว่าตลาดไม่ไปไหนเลย
- ปี 2002(2545) มือถือ Orange เข้ามาในไทย /แอ๊ด เปิดตัว คาราบาวแดง / เริ่ม RMF - LTF ลดภาษี / Game Online เริ่มฮิตในเมืองไทย Asiasoft ตลาดวิ่งจาก 320 จุด ไปสูงสุดที่ 420 จุดกลางปีและลงต่ำที่ 320 จุด ก่อนมาปิดที่ 370 จุดปลายปี
- ปี 2003(2546) ปีนี้ Roynet เจอปิดเพราะแต่งบัญชี / ซาร์ส ระบาด โรงแรมซวยกันหนัก - ก่อตั้งกองทุนวายุภักษ์พยุงหุ้น / เริ่มบ้านเอื้อาทร / หวยบนดิน ล้างใตเดิน / ครัวไทยสู่โลก /รัฐตั้งกองทุนพยุงราคาน้ำมัน / สินค้าจีนทะลักเข้าไทย หลังเปิด เอฟทีเอ / ไข้หวัดนกกระหน่ำต่อ แต่สรุปตลาดดี จาก 350 จุด วิ่งไปปิดที่ 700 จุด ปลายปี
- ปี 2004(2547) ปีนี้ IPOD เริ่มตีตลาด / orange ทิ้งตลาดไทย / เริ่มวิกฤตราคาน้ำมัน / สุวรรณภูมิดันราคาที่ดินพุ่ง / สึนามิถล่มไทย สรุปหุ้นผันผวนมาก จาก 700 จุด ลงมาต่ำที่ 590 จุด วิ่งไปปิดที่ 680 จุดปลายปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2005(2548) ปี นี้วุ่นวานตามปกติ เจริญ ซื้อ โออิชิ / น้ำมันเริ่มแรง บอนด์น้ำมันขายดี เริ่มกระแสพลังงานทดแทน / เกาหลี ฟีเวอร์ถือกำเนิด หุ้นจากต้นปี 680 จุด วิ่งไปที่740 ลงมาต่ำที่ 640 จุด กระโดดไป 720 จุด ลงมา 680 สิ้นปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2006(2549) ทักษิณขายหุ้นเลี่ยงภาษี เปิดตำนาน เสียค่าโง่ประวัติศาสตร์ โดน รัฐประหาร -- ปีนี้หุ้นจาก 680 วิ่งไป 780 จุด ลงมาที่ 650 จุด ก่อนไปปิดที่ 620จุด วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2007(2550) ปีนี้นำมันแพงสุดๆ ทำให้กลุ่มพลังงานกำไรมหาศาล -- จตุคามแรงมากปีนี้ หุ้นจาก 650 จุด วิ่งไปสูงสุดที่ 900 จุด ก่อนที่ลงมาปิดที่ 800 จุด ปลายปี (ปีนี้พวกแมลงเม่าเริ่มวิ่งเข้าน้ำมัน และ โรงกลั่น และ นี่ก็คือ สัจธรรม ปีถัดมา มันตายหมดครับท่านผู้ชม)
- ปี 2008(2551) ปี เผาแมลงเม่าน้ำมัน ตลาดกลับไป peak อีกทีที่ 900 จุด ก่อนเผาลงมาปิดที่ 420 จุด เรียกได้ว่าตายกันถ้วนหน้า


( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" ) เป็นเก้าปีที่วิ่งขึ้น แล้วก็กลับมาที่จุดเดิม "เอ๊ะ !! หรือใครอาจตีความว่าเป็น -- ทฤษฎีระฆังคว่ำ"

ห้วงเวลานี้ เมืองไทยอยู่ใน การเดินทางภายใต้ "อัศวินคลื่นลูกที่สาม..อ่าฮ้า คุณทักษิณ" (เอาเป็นว่าผมจะไม่กล่าวอะไร ให้ดูกราฟเอาเองว่า ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร)

หุ้นขึ้นเป็นระฆังคว่ำ ถ้ามองอย่างผิวเผินไม่น่าจะมีใครรวยได้ แต่มันมีครับ (อยู่ที่ว่า คุณเป็นใคร อิ อิ อิ) เอ๋อ..เอาเป็นว่า ดร.นิเวศน์ แกก็รวยขึ้นมาก ในช่วงนี้ (อิ อิ เป็นการเขียนเบี่ยงประเด็นการเมืองที่เนียนมาก ..อิ อิ อิ)

ฮ่า ฮ่า ฮ่า --- 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" เป็นห้วงเวลาที่เหล่าคนรวยในเมืองไทยไม่พอใจ แต่รากหญ้าพอใจ เพราะชาวนามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากนโยบายประชานิยม กองทุนหมู่บ้าน ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ..จะให้มองว่าดี มันก็มีข้อดี เช่น คนรวยไม่รวยขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถขึ้นได้ .."มันเป็นความอึดอัดของ กลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆ ...ห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาของการบ่มเพาะ รอยร้าวทางการเมือง ที่แย่ที่สุดตั้งแต่เรามีระบอบประชาธิปไตย (ผมนั่งยิ้มอยู่ ออสเตรเลีย แล้วนึกในใจว่า "บ้านกูแซงสิงค์โปร์แน่" ...แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย!!) "มันลับ ลวง พราง"

ปี 2009 "หนองแตก!!" เลือดสาดทั่วเมือง แต่ตลาดหุ้นกลับขึ้น "เป็นพลุแตก" ...คุณสงสัยไหมว่าทำไม (สงสัยต่อไป อิ อิ สวัสดีครับ)

ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )



ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

- ปี 1997(2540) เริ่มเผาทุกชีวิต ปีแห่งต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินล้มระนาว Realestate พังกระจาย ตลาดจาก 800 จุด ลงมาปิดที่ 350 จุด ปลายปี
- ปี 1998(2541) เผาจริง เผาต่อ ไหม้กันทั้งหมด ตลาดจาก 350 จุด ลงมาต่ำสุดที่ 200 จุด ก่อนจะวิ่งไปปิดที่ 300 จุด ปลายปี
- ปี 1999(2542) หลังจากเผามานาน 2 ปีเต็ม ก็ต้องกลับมาดีขึ้น แม้เหตุการณ์ต่างๆยังแย่อยู่ ตลาดวิ่ง จาก 300 จุด ไปปิดที่ 500 จุดปลายปี "ดังนั้นจงจำไว้ว่า ถ้าต่ำสุดๆเมื่อไหร่ให้เข้าตลาด" -- ปีนี้คือ หุ้นกระทิงใน เศรษฐกิจหมี คล้ายกับปี 2009 ยังไงยังงั้นเลยนะเนี่ย ---ปีนี้เริ่มหวั่น Y2K


( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น ) หลังจากปัญหาสะสมเมื่อสามปีก่อน ก็ทำให้ตลาดดิ่งต่อ "ใครที่เคยเล่นหุ้นในตลาดแบบนี้ ยากที่จะรอดตาย เพราะมันเผาจริง " และผลของการ Crash อย่างแรกของ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ในครั้งนี้ มันทำตลาดเสีย Phycology ของตลาด เรียกได้ว่า "พังไปเลย"

ช่วงนั้น ถ้ามองในทางธรรม มันเป็นการชำระล้างบาป "เน่าทั้งตลาด" (ช่วงนี้มีคนโดนตึกตายและหมดตัว อย่างมากมาย)

ถ้ามองให้ดี "คุณจะรู้สึกดีแค่ไหน หากคุณไม่ได้เป็นหนึ่งคนที่ต้องหมดตัวไปกับวิกฤตในคราวนั้น"...เอาเป็นว่า ในภาพใหญ่คุณจะเห็นตลาดดิ่งลงจากปี 1994 จนถึง Bottom ปี 2008 ที่ 200 จุด (จากนั้นเมื่อตลาดแตะจุดต่ำสุด มันก็จะต้องเด้งขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะในปี 1999 ที่ตลาดเด้งกลับมาดีขึ้น)

จากนั้นตลาด ก็เจอวิกฤตซ้ำ ก็คือ Y2K ในปี 2000 นั่นเอง

ประเด็นที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ "ในตลาดขาลง เราจะรู้สึกแย่ แต่ถ้าเอามาวัดกันจริงๆ ช่วงที่ตลาดขึ้น ก็มีเรื่องร้ายๆเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ต่างไม่ใช่ข่าว "เพราะข่าวนั้นมีทั้งดีและร้ายอยู่ตลอดเวลา" ..แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "คุณจะต้องรู้ว่า ระหว่างที่คุณเล่นหุ้นอยู่ คุณกำลังอยู่ใน ขาขึ้นหรือขาลง !!"

ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )



ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

- ปี 1994(2537) ปีนี้ตลาดเริ่มเผาแมลงเม่า จาก 1750 จุด มาปิดที่ 1250 จุด
- ปี 1995(2538) ปีนี้เริ่มเผาแมลงเม่า อย่างหนัก ความเน่าในตลาดเรื่องการเงินเริ่มออกอาการ ตามใจ ขำภโต แห่งกรุงไทย ถูกจำคุก 20 ปี ปีนี้เริ่มเปิดเสรีธุรกิจประกัน ตลาดเริ่มจาก 1250 จุด ลงไปที่ 1100 จุด กระโดดขึ้นไป 1450 จุด แล้วลงมาปิด 1200 จุด ปลายปี เห็นไหมว่า ถ้าเงินนอนคุณไม่เสียอะไรเลยแต่ถ้าเป็นMargin มีแต่ตายกับตาย
- ปี 1996(2539) ปีนี้สหรัฐถล่มอิรัก ตลาดจาก 1400 จุด ลงมาปิด 800 จุด ปลายปี ปัญหาต่างๆเริ่มถมเข้ามา เช่น ปิ่น จักกะพาก กับ เอกธนกิจ เริ่มมีปัญหา / ปัญหา บีบีซี / 1,000 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กำไรลด 20% / บ้านเริ่ม Over supply เพราะสร้างมากเกินไป


( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" ) เป็นช่วงที่ภาพใหย่ของตลาดเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง ...3 ปีนี้ตลาดรูดจาก 1750 จุด ลงมาแตะ 800 จุดปลายปี 1996 นั่นเอง

สังเกตให้ดีจะเริ่มรู้ว่า เวลาตลาดเข้าขาลง "ทุกเรื่องเลวร้ายก็จะถาถมเข้ามา ..ตั้งแต่สงคราม , ปัญหา ฟินวัน ของปิ่น จักกะพาก , บีบีซี , เกิดปัญหาการเงินลุกลาม , ในตลาด Real Estate ก็มีการสร้างมากเกินไปจนตลาด Over Supply ...ผลลัพธ์ก็คือ "ผลประกอบการของบริษัทต่างๆในตลาด กำไรลดลงอย่างฮวบฮาบ"

คุณสังเกตไหมครับว่า "เวลาตลาดเข้าขาลง มันจะต้องมี trigger point ที่เลวร้าย (แต่ถ้าคุณมองเทียบกับปี 2010 ในเวลานี้จะเห็นได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ)

เอาเป็นว่า ภาพที่เห็นในสามปีนี้เป็นสัญญาณเตรียมแย่นั่นเอง "กำไรบริษัทลดลง สินค้าล้นตลาดขายไม่ได้ บ้านก็ขายไม่ได้ ธนาคารก็ประสบปัญหา ..ทุกอย่างหยุดชะงัก (จุดนี้ถ้ามองให้ดีๆ มันก็คือ ตลาดอเมริกาหลัง Sub-prime ในขณะนี้นั่นเอง"..."ถ้าเป็นเช่นนั้น มันเป็นนัยๆว่า อเมริกา จะเผาจริงในไม่ช้ารึเปล่า ..คอยดูกัน!!)

ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )


ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

- ปี 1991(2534) จากสงครามอ่าว สู่พฤษภา ทมิฬ นับว่าผีซ้ำ เหยียบเรา ต้นปี ตลาดวิ่งจาก550 ขึ้นไปสุดที่ 900 จุด ก่อนที่จะอ่อนลงมาปิดที่ 700 จุดปลายปี คือ ปีนี่ แย่ + แย่ ตลาดหุ้นจึงไม่แย่มาก "อย่า งง จงพึงสังวรครับ"
- ปี 1992(2535) ปีนี้ประเทศเรา เริ่มมี VAT โดย อานันท์ เข้ามาแก้ปัญหา สุจินดาทมิฬ ปีนี้ผันผวน เปิดที่ 700 จุด ขึ้นๆลงๆ ไปปิดที่ 850 จุดปลายปี
- ปี 1993(2536) หลังจากแย่มาหลายปี ติดต่อกัน ปีนี้ตลาดก็กลับมาดี "สัจธรรมมาอีกแล้วครับท่าน" ตลาดเริ่มบูม เข้าสู่ยุคทองคำของตลาดเงิน ตลาดวิ่งจาก 850 จุดไปสูงสุดที่ 1750 จุด( ปีนี้ใครซื้อหุ้นจะรวยมาก) แต่อะไรถ้าดี ก็มีความเสี่ยง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่แมลงเม่าเข้าตลาดมากมาย และผลก็คือ ปีต่อมา แมลงเม่าก็ต้องตาย -- คุณสงสัยไหมว่าทำไมพวกแมลงเม่าถึงไม่เข้าตลาดตอน Black Monday แล้วถือยาว น่าคิดไหมครับ


สงครามอ่าวถือเป็น Correction ในระหว่าง Asian Miracle 1 "สิ่งนี้เตือนสติเราว่า แม้ตลาดในภาพใหย่ยังอยู่ในขาขึ้น แต่แน่นอนตลาด "จะไม่วิ่งเหมือนจรวด" จะวิ่งเหมือนคลื่น จึงทำให้ต้องมี Correction อยู่เป็นระยะ ..จากสงครามอ่าว ก็เจอพฤษภา ทมิฬ (นองเลือด จากการเมือง) ..จากนั้นเราก็ได้นายก อนันต์ เข้ามากอบกู้ ดึงตลาดให้ดีขึ้น "เอ๊!! คล้ายๆ นายกหล่อใหญ่ที่เข้ามาพยุงตลาดผ่านวิกฤตการเมือง(ที่นองเลือด) อะเปล่า" --- เห็นไหมครับ History repeat itself !! คุณเริ่มสยองหรือยัง ...สยอง ๆ ๆ

จากนั้นปี 1993 ตลาดก็ลากขึ้นไปจาก 800 จุด กระชากขึ้นไปที่ peak เกือบ 1,800 จุด

(ดังนั้นจากปี 1987 - 1993 ผ่านทั้งเรื่องดีและเลวร้าย เริ่มจาก Black Monday ผ่านสงคราวอ่าว ผ่านการเมืองเลือด พฤษภาทมิฬ ..แต่ไฉนตลาดวิ่งถึง 9 เท่าในเวลา 7 ปี "ตลาดตอนนั้นโฑตปีละกว่าเท่าตัวโดยเฉลี่ย ..ถามหน่อยคุณไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ (ขาขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีข่าวดีตลอด คุณเห็นเหมือนผมไหม!!)

ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990 (จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)


ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"

- จากปี 1987(2530) เราเจอกับ Black Monday ตลาดเริ่มต้นปีที่ 200 จุด วิ่งไปสุดที่ 450 จุด แล้วเจอ Black Monday กลับลงมาที่ 250 จุด ถือว่าเป็นปีที่ผันผวนแรงมากคือเกิน 100%
- ปี 1988(2531) แน่นอนหลังจากตลาดตกแรงปีนี้ตลาดก็เริ่มฟื้นตัว ตลาดวิ่งจาก 250 ขึ้นไปปิดที่ 450 จุดปลายปี ถือว่าเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม และเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle กับฝันเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
- ปี 1989(2532) ธุรกิจ Real estate และ เงินทุนหลักทรัพย์เริ่มบูม ตลาดวิ่งจาก 450 จุด ไปปิดที่ 900 จุดปลายปี
- ปี 1990(2533) ปีนี้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียอิรักบุกคูเวต ตลาดเริ่มที่ 900 จุด วิ่งไป Peak ที่ 1150 จุด ก่อนที่จะตกลงมาที่ 550 ในปลายปี คือ ต้องพึงสังวรไว้ว่าถ้าปีที่แล้วดี ปีนี้ต้องระวัง และนี่ดีมา 2 ปีติดกัน ทำให้ปีนี้ต้องมีอันซวยเป็นธรรมดา "สัจธรรม พึงสังวร"


นี่คือ 4 ปี แห่งความเมามันส์ "ขาขึ้นอย่างแรงของตลาดหุ้นไทย" SET วิ่งจาก 200 จุด ไปแตะที่ 1,150 จุด ใน 4 ปี (เป็นห้าปี ที่ทำให้หลายๆคนรวย เพราะภาพใหญ่อยู่ในขาขึ้น "ซึ่งก็มี Correction เป็นระยะๆ ตามทฤษฏีของ หุ้นขึ้นแบบคลื่น(ไม่ใช่จรวด) "Elliott Wave"

สังเกตไหมครับ Super Bull Market ในครั้งนี้เริ่มจากจุดตกต่ำ นั่นก็คือ "Black Monday" ...ตามคำกล่าวที่ว่า จุดสิ้นสุดของ Bear Market ก็คือจุดเริ่มต้นของ Bull Market นั่นเอง...และ Black Monday ก็คือจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle 1 (แล้ววิกฤตอะไรจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle 2 ..ใช่ Sub-prime รึเปล่าน๊า!!)

(จากกราฟปี 1989) ก็เริ่ม Real estate Bubble!! จากนั้นตลาดก็ลากกระฉูด จนไปจบหลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย

สังเกตไหมครับ ว่า "ตลาดมันขึ้นลงเป็น Cycle ...คุณเรียนรู้อะไรจาก กราฟ และ 4 ปีนี้"

ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009


(เอ๋อ !! Fibo ในภาพนั่นลากขำขำ --- แต่ถ้ามันไปอย่างนั้นจริงอาจเลิกขำ "นั่งยิ้ม..หุ หุ" --- "Imagine กับ รู้งี้ ...อะไรแจ๋วกว่า" -- คำกล่าวที่นักเล่นหุ้นในตำนานมักกล่าวขานกันก็คือ "รู้อะไร ไม่สู้่ รู้งี้ ..เพราะรู้งี้ -- ตูซื้อไปแล้ว อิ อิ อิ)

- จากปี 1987(2530) เราเจอกับ Black Monday ตลาดเริ่มต้นปีที่ 200 จุด วิ่งไปสุดที่ 450 จุด แล้วเจอ Black Monday กลับลงมาที่ 250 จุด ถือว่าเป็นปีที่ผันผวนแรงมากคือเกิน 100%
- ปี 1988(2531) แน่นอนหลังจากตลาดตกแรงปีนี้ตลาดก็เริ่มฟื้นตัว ตลาดวิ่งจาก 250 ขึ้นไปปิดที่ 450 จุดปลายปี ถือว่าเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม และเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle กับฝันเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
- ปี 1989(2532) ธุรกิจ Real estate และ เงินทุนหลักทรัพย์เริ่มบูม ตลาดวิ่งจาก 450 จุด ไปปิดที่ 900 จุดปลายปี
- ปี 1990(2533) ปีนี้เกิดสงครามอ่าวเปอร์ซียอิรักบุกคูเวต ตลาดเริ่มที่ 900 จุด วิ่งไป Peak ที่ 1150 จุด ก่อนที่จะตกลงมาที่ 550 ในปลายปี คือ ต้องพึงสังวรไว้ว่าถ้าปีที่แล้วดี ปีนี้ต้องระวัง และนี่ดีมา 2 ปี ติดกัน ทำให้ปีนี้ต้องมีอันซวยเป็นธรรมดา "สัจธรรม พึงสังวร"
- ปี 1991(2534) จากสงครามอ่าว สู่พฤษภา พมิฬ นับว่าผีซ้ำ เหยียบเรา ต้นปี ตลาดวิ่งจาก550 ขึ้นไปสุดที่ 900 จุด ก่อนที่จะอ่อนลงมาปิดที่ 700 จุดปลายปี คือ ปีนี่ แย่ + แย่ ตลาดหุ้นจึงไม่แย่มาก "อย่า งง จงพึงสังวรครับ"
- ปี 1992(2535) ปีนี้ประเทศเรา เริ่มมี VAT โดย อานันท์ เข้ามาแก้ปัญหา สุจินดาทมิฬ ปีนี้ผันผวน เปิดที่ 700 จุด ขึ้นๆลงๆ ไปปิดที่ 850 จุดปลายปี
- ปี 1993(2536) หลังจากแย่มาหลายปี ติดต่อกัน ปีนี้ตลาดก็กลับมาดี "สัจธรรมมาอีกแล้วครับท่าน" ตลาดเริ่มบูม เข้าสู่ยุคทองคำของตลาดเงิน ตลาดวิ่งจาก 850 จุดไปสูงสุดที่ 1750 จุด( ปีนี้ใครซื้อหุ้นจะรวยมาก) แต่อะไรถ้าดี ก็มีความเสี่ยง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่แมลงเม่าเข้าตลาดมากมาย และผลก็คือ ปีต่อมา แมลงเม่าก็ต้องตาย -- คุณสงสัยไหมว่าทำไมพวกแมลงเม่าถึงไม่เข้าตลาดตอน Black Monday แล้วถือยาว น่าคิดไหมครับ
- ปี 1994(2537) ปีนี้ตลาดเริ่มเผาแมลงเม่า จาก 1750 จุด มาปิดที่ 1250 จุด
- ปี 1995(2538) ปีนี้เริ่มเผาแมลงเม่า อย่างหนัก ความเน่าในตลาดเรื่องการเงินเริ่มออกอาการ ตามใจ ขำภโต แห่งกรุงไทย ถูกจำคุก 20 ปี ปีนี้เริ่มเปิดเสรีธุรกิจประกัน ตลาดเริ่มจาก 1250 จุด ลงไปที่ 1100 จุด กระโดดขึ้นไป 1450 จุด แล้วลงมาปิด 1200 จุด ปลายปี เห็นไหมว่า ถ้าเงินนอนคุณไม่เสียอะไรเลยแต่ถ้าเป็นMargin มีแต่ตายกับตาย
- ปี 1996(2539) ปีนี้สหรัฐถล่มอิรัก ตลาดจาก 1400 จุด ลงมาปิด 800 จุด ปลายปี ปัญหาต่างๆเริ่มถมเข้ามา เช่น ปิ่น จักกะพาก กับ เอกธนกิจ เริ่มมีปัญหา / ปัญหา บีบีซี / 1,000 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กำไรลด 20% / บ้านเริ่ม Over supply เพราะสร้างมากเกินไป
- ปี 1997(2540) เริ่มเผาทุกชีวิต ปีแห่งต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินล้มระนาว Realestate พังกระจาย ตลาดจาก 800 จุด ลงมาปิดที่ 350 จุด ปลายปี
- ปี 1998(2541) เผาจริง เผาต่อ ไหม้กันทั้งหมด ตลาดจาก 350 จุด ลงมาต่ำสุดที่ 200 จุด ก่อนจะวิ่งไปปิดที่ 300 จุด ปลายปี
- ปี 1999(2542) หลังจากเผามานาน 2 ปีเต็ม ก็ต้องกลับมาดีขึ้น แม้เหตุการณ์ต่างๆยังแย่อยู่ ตลาดวิ่ง จาก 300 จุด ไปปิดที่ 500 จุดปลายปี "ดังนั้นจงจำไว้ว่า ถ้าต่ำสุดๆเมื่อไหร่ให้เข้าตลาด" -- ปีนี้คือ หุ้นกระทิงใน เศรษฐกิจหมี คล้ายกับปี 2009 ยังไงยังงั้นเลยนะเนี่ย ---ปีนี้เริ่มหวั่น Y2K
- ปี 2000(2543) ปีนี้ยังแย่ต่อ หนี้รัฐแตะ 64% ของ GDP สูงกว่าปี 2010 อีก ปีนี้ตลาดรวมดีขึ้นแต่หุ้นกลับแย่ลงวิ่งจาก 450 จุด กลับมาที่ 300 จุด -- ถึงจุดนี้เราเริ่มเสียวแล้วว่าปี 2010 หุ้นอาจกลับมาแย่ใหม่ ตรงนี้ใครดีใครได้
- ปี 2001(2544) ซวยต่ออีก "9/11" จีนเข้า WTO /ทักษิณ เป็นนายก /กำเนิด Harry Potter ตลาดไม่ไปไหน จาก 300 ลงไป 250 วิ่งไป 340 ลงมา 270 แล้วไปปิดที่ 320 สรุปว่าตลาดไม่ไปไหนเลย
- ปี 2002(2545) มือถือ Orange เข้ามาในไทย /แอ๊ด เปิดตัว คาราบาวแดง / เริ่ม RMF - LTF ลดภาษี / Game Online เริ่มฮิตในเมืองไทย Asiasoft ตลาดวิ่งจาก 320 จุด ไปสูงสุดที่ 420 จุดกลางปีและลงต่ำที่ 320 จุด ก่อนมาปิดที่ 370 จุดปลายปี
- ปี 2003(2546) ปีนี้ Roynet เจอปิดเพราะแต่งบัญชี / ซาร์ส ระบาด โรงแรมซวยกันหนัก - ก่อตั้งกองทุนวายุภักษ์พยุงหุ้น / เริ่มบ้านเอื้อาทร / หวยบนดิน ล้างใตเดิน / ครัวไทยสู่โลก /รัฐตั้งกองทุนพยุงราคาน้ำมัน / สินค้าจีนทะลักเข้าไทย หลังเปิด เอฟทีเอ / ไข้หวัดนกกระหน่ำต่อ แต่สรุปตลาดดี จาก 350 จุด วิ่งไปปิดที่ 700 จุด ปลายปี
- ปี 2004(2547) ปีนี้ IPOD เริ่มตีตลาด / orange ทิ้งตลาดไทย / เริ่มวิกฤตราคาน้ำมัน / สุวรรณภูมิดันราคาที่ดินพุ่ง / สึนามิถล่มไทย สรุปหุ้นผันผวนมาก จาก 700 จุด ลงมาต่ำที่ 590 จุด วิ่งไปปิดที่ 680 จุดปลายปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2005(2548) ปี นี้วุ่นวานตามปกติ เจริญ ซื้อ โออิชิ / น้ำมันเริ่มแรง บอนด์น้ำมันขายดี เริ่มกระแสพลังงานทดแทน / เกาหลี ฟีเวอร์ถือกำเนิด หุ้นจากต้นปี 680 จุด วิ่งไปที่740 ลงมาต่ำที่ 640 จุด กระโดดไป 720 จุด ลงมา 680 สิ้นปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2006(2549) ทักษิณขายหุ้นเลี่ยงภาษี เปิดตำนาน เสียค่าโง่ประวัติศาสตร์ โดน รัฐประหาร -- ปีนี้หุ้นจาก 680 วิ่งไป 780 จุด ลงมาที่ 650 จุด ก่อนไปปิดที่ 620จุด วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2007(2550) ปีนี้นำมันแพงสุดๆ ทำให้กลุ่มพลังงานกำไรมหาศาล -- จตุคามแรงมากปีนี้ หุ้นจาก 650 จุด วิ่งไปสูงสุดที่ 900 จุด ก่อนที่ลงมาปิดที่ 800 จุด ปลายปี (ปีนี้พวกแมลงเม่าเริ่มวิ่งเข้าน้ำมัน และ โรงกลั่น และ นี่ก็คือ สัจธรรม ปีถัดมา มันตายหมดครับท่านผู้ชม)
- ปี 2008(2551) ปี เผาแมลงเม่าน้ำมัน ตลาดกลับไป peak อีกทีที่ 900 จุด ก่อนเผาลงมาปิดที่ 420 จุด เรียกได้ว่าตายกันถ้วนหน้า
- ปี 2009(2552) อีกแล้วครับท่าน เมื่อตลาดต่ำ ย่อมต้องเด้งกลับ จาก 400 จุด วิ่งกลับไปที่ 700 จุดปลายปี --- ลองทำนายซิครับว่าปี 2010(2553) จะเป็นอย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปูพื้นชั้นที่สอง (ห้องแห่งราคาอนาคตของ Monkey)



"จะว่าไปแล้วพูดถึงอนาคตก็คงไม่พ้น หมอดู คู่หมอเดา" ผมเคยนำเสนอเรื่องของ "หมอตี๋" ที่รักษาเก่ง แต่คนไม่เชื่อถือ ..(แค้นๆ!!) เลยโกนหัวมุ่งเข้าหาธรรม จากนั้นก็เลยประสบความสำเร็จ กลายเป็น "พระอาจารย์หมอที่โด่งดัง" (สรุปเจ๋งกว่าหมอธรรมดา ขึ้นไปอีกขั้น นี่และผลบุญ ..อิ อิ)

ฉันใด ก็ฉันนั้น ..ตลาดหุ้น ย่อมต้องมี "หมอดู ..เอ๋อ ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่" แต่เอาเป็นว่า วันนี้ประเด็นร้อนที่เราหยิบยกมาคุย คือ การคาดคะเนราคาในอนาคต โดยเอาพื้นฐานมาดู อย่างง่ายๆ

(ดูจากภาพ) การหาราคาในอนาคตก็ทำได้จาก การนำ Book Value ของกิจการไปคาดคะเนราคาในอนาคต ..จากตัวอย่างเมื่อห้าปีที่แล้ว ย้อนดูแล้วเทียบกับราคาปัจจุบัน "ด้วยการเจริญเติบโตของกิจการเช่นนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่กิจการนี้ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง" ..ซึ่งถ้าดูคร่าวๆ เราอาจเดาราคา ในอนาคตของ Book Value ของกิจการนี้เท่ากับ 200 บาท

มาดูในส่วนของ P/BV คืออะไร ผมกลับมองว่ามันคือ "อารมณ์ของนักลงทุน ..ที่มีต่อกิจการนั้นๆ (ถ้าใช้ตารางก็คือเราจะดู ระยะเวลา Scope ประมาณ 5 ปี) ซึ่งในช่วงห้าปี จะเห็นได้ว่า "ช่วงที่กิจการนี้รุ่งๆ นักลงทุนให้ค่า P/BV ประมาณ 3 เท่ากว่าๆ

ซึ่งถ้าจะประมาณราคา "ในอนาคต ในช่วงที่กิจการอยู่ในจังหวะที่ดี ก็จะใช้ "Book Value(ที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต) * P/BV " จากตัวอย่างจะได้ 200 * 3 จะเท่ากับประมาณ 600 บาท

(ซึ่งจุดนี้เป็นเพียงแค่การประมาณ ราคาในอนาคตอย่างง่าย) ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถรู้ราคาในอนาคตจริงๆ จนกว่ามันจะมาถึง ..อีกประเด็นคือ บางกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างของกิจการอย่างมหาศาล ก็จะทำให้ "อารมณ์ของนักลงทุน" หรือ P/BV มีความเปลี่ยนแปลงได้

ตัวอย่างชัดๆเช่น CPF ที่เดิมขายอาหารสด แต่เปลี่ยนมาเป็นขาย Ready to eat Meal มากขึ้ัน ซึ่งจุดนี้ทำให้กิจการมีกำไรสูงขึ้น (แต่มันก็ย่อมขึ้นมา ด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน) หรือ อย่างที่ชัดๆอีกอันก็ CPALL(7-11) ที่เปลี่ยนโครงสร้างของกิจการ จากการขายของแห้งมาขายอาหาร(จาก "สะดวกซื้อ"มาเป็น"สะดวกอิ่ม") ซึ่งมีกำไรสูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง ที่มากตาม เช่น ระบบตู้แช่ และ ระบบ Logistic ที่ต้องอาศัยการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งมาพร้อมกับ Cost ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จะเห็นได้ว่าเมื่อกิจการเปลี่ยนโครงสร้าง "อารมณ์ของนักลงทุน ต่อกิจการนั้นๆ ก็จะแปรเปลี่ยนตาม" ซึ่งจะทำให้ P/BV ขึ้นหรือลง ก็สุดแล้วแต่ Greed & Fear เข้ามาทำปฎิกริยา ต่อราคาหุ้นนั่นเองครับ

หลักการคร่ีาวๆของ Technical โดย Monkey Trade


หนึ่ง "No Bottom Fishing" หลักการนี้ มันฟังแล้วแสลงหูสำหรับเหล่า Value Investor ยิ่งนัก (พูดโดยนัยคือ การเล่นโดยใช้ Technical เราไม่ควรซื้อแบบราคาต่ำ "เพราะโดยปกติเมื่อราคาต่ำ ย่อมมีราคาที่ต่ำกว่า" ...ดังนั้น การซื้อต้องมีสัญญาณการขึ้นที่ชัดเจนก่อน (แม้จะเข้าในราคาสูง แต่เรามุ่งจะขายในราคาที่สูง กว่า)..(เส้น Blue ตัด Red ยิ่งมันตัด Gold ..วิ่งเข้าลุย -- ส่วน RSI ดูอัตรากำลัง "เหมือนรถ คุณต้องดูอัตราเร่ง ไม่ใช่สูงๆหรือต่ำๆดี ที่ดีคือ ความสม่ำเสมอและจังหวะ ..ยิ่งใช้ Technical ยิ่งต้องอิงธรรมชาติให้มากขึ้น การเร่งเครื่องต้องมีจัวหวะในการเหยียบคันเร่ง "ไอ้พวกเหยียบคันเร่งแบบมิด ตลอดทาง ..พวกนี้ไม่ได้แชมป์นะครับ --ไปนอนในหลุมหมดแล้ว อิ อิ!!

สอง "History Repeat itself" (ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม !! ..อย่างตอนช่วง Dot com boom ทุกคนลงทุนในบริษัทคอมพิวเตอร์ โดยไม่สนว่า บริษัทจะต้องทำกำไรหรือไม่ ..กลายเป็นความคิดที่ว่า This time is different !! เรียกปรากฏการณ์ครั้งนั้นว่า New Economy) แต่บทสรุปก็คือ ตลาด Dot com Crash!! ..ดังนั้นเมื่อความคิดที่ว่า "ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เกิดขึ้นเมื่อไหร่ หายนะกำลังใกล้จะมาเยือนคุณ"

สาม "Price Discount Everything" ราคา(หุ้น)ที่คุณเห็นมันได้คำนวณปัจจัยที่ทุกคนในตลาดรู้หมดแล้ว ดังนั้นราคาหุ้นมันได้สะท้อนราคาข่าวสารทุกอย่างไว้หมดแล้ว "เวลาคุณเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ หรือ สื่อ แล้วคิดว่าคุณจะเอาข้อมูลนั้นมาทำกำไร มันแทบจะเป็นไปไม่ได้"...กรณียกเว้นมีทางเดียว ก็คือ "ความกลัว และ ความโลภ" ดังนั้นทางเดียวที่คุณจะชนะตลาดได้ คุณต้องเอาชนะ Fear & Greed ให้ได้ (อ่านธรรมะบ้าง ปล่อยวางบ้าง แล้วคุณจะเข้าใจการเอาชนะ บทเรียนนี้ได้(บางครั้ง!!) )

สี่ "Price Move in Trend" ราคาหุ้นขึ้นลงเป็น cycle ไม่มีอะไรลงตลอดหรือขึ้นตลอด ..นี่เป็นที่มาของ ทฤษฏี Dow และทฤษฏี Elliott Wave (ให้มองธรรมชาติของคลื่น และกระแสน้ำ) คือ ราคาของหุ้น จะไม่ขึ้น ปี๊ด หรือ ลง ปุ๊ด เหมือน จรวด ..ดังนั้น เราจะเห็นว่าเวลาขึ้นก็จะขึ้นเป็นหยักๆเหมือนคลื่น ส่วนขาลงก็หยักๆเหมือนคลื่นเช่นกัน .."จุดนี้แหละที่หลอกบรรดามือใหม่(และมือเก๋า)ให้ติดกับได้อย่างดี"

ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการเล่นแบบ Technical คือคุณต้องอ่าน Trend ใหญ่ขาด (คือคุณต้องรู้ว่าในภาพใหญ่ตอนนี้ตลาดอยู่ในช่วงใด "อยู่ใน Wave ใด" -- อย่างตอนนี้ถ้าถามว่าในภาพใหญ่ของตลาดหุ้น (ปี 2010) ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในขาขึ้น (ขาขึ้นเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2008 และยังไม่มีทีท่าว่าจะลง)

การอ่านข่าวจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่จำเป็น แต่คนส่วนใหญ่ใช้แบบผิดๆ ที่ผิดไม่ใช่วิธีอ่าน (แต่เป็นการตีความต่างหาก!!) ในตลาดหุ้นขาขึ้น ข่าวเป็นตัวเร่งของราคา เพราะราคาหุ้นจะวิ่งตามข่าว ที่ขาใหญ่เป็นผู้สร้าง ดังนั้น ราคาหุ้นในขาขึ้น วิ่งตามข่าวที่สร้าง!! ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้ดีขึ้นเลย (นั่นหมายความว่า คุณซื้อข่าว ถูกไหม ไม่ใช่ซื้อหุ้น)

หลักการอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ คือ "การ Cut Loss" ..การเล่นหุ้นโดยใช้ Technical จะมีข้อเสียตรงเรื่องของ ข้อมูล ดังนั้นรายย่อยต้องมีจุด Cut Loss ที่แน่นอน (ถ้าคุณอ่านเกมผิด ให้ถอยก่อน อย่าทำตัวเป็นไก่ตาแตกครับ!!)...ในระบบลงทุนที่มีขาใหญ่ ถ้าเราดูให้ดีจะรู้ว่า ขาใหญ่เล่นหุ้นโดยใช้ "พื้นฐาน + Technical" ..ความหมายที่ผมอยากจะบอกคือ ตลาดหุ้นไทย มีความลวงเยอะกว่าที่เราคิด --- "ราคาที่เราเห็น มันไม่ใช่ราคาที่เจ้ามือเห็น" ...ดังนั้น การเล่นหุ้นไม่ใช่เอา Technical ตั้งแล้วหว่านเล่นไปทั่วตลาด --ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องรู้ในธุรกิจที่คุณลงทุน "ต้องรู้จักหุ้นของคุณ"

ใครเป็นเจ้าของ ..ใครเป็นเจ้ามือ ..Cycle ของธุรกิจเป็นอย่างไร คือ เลือกหุ้นให้น้อยตัว แต่คุณต้องรู้จริงในสิ่งที่คุณลงทุน --- "ไม่งั้นคุณจะซวยได้ง่ายๆ"

แต่ถ้าไม่ชอบศึกษา คุณไปเล่น Index หรือ Commodity "แต่ยังไงคุณก็ต้องทำการบ้านอยู่ดี ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ โดยปราศจากความเพียร นะครับ"

"จะรู้อะไรต้องรู้จริง" (คนรวยส่วนใหญ่รวยจากสิ่งที่เขารู้จริง ไม่ได้เกิดจากรู้ทุกสิ่ง )

เรียนรู้ Technical จากอดีต (ตอนที่ 2)



เอากราฟ Peak ของ SET (เมื่อปี 1993 -1994 มาให้ดู) เกือบแตะ 1800 จุด -- ผ่านมา 16 ปีแล้ว ตลาดปัจจุบันยังอยู่ที่ 900 จุด ...เป็นความขำ ที่ GDP โตขึ้นไม่รู้กี่เท่า แต่ตลาดเรายังเน่าเหลือทน ปัจจัยหลักๆ ก็คือ หนึ่ง ไม่มีบริษัทดีๆเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นเรา สอง นิสัยๆ ของรายใหญ่ และรายย่อยของไทย "นิสัย งง" รายใหญ่เล่นแบบรายย่อย กองทุนก็เอาเงินยาวมาเล่นสั้น "จ๊าก..งง ...ไหมครับ" (ไม่ งง มันเน่าอย่างนี้มานานแล้ว)

แต่ประเด็นคือ "สัจธรรม" ไม่มี Cycle ไหนที่แย่ตลอดกาล ผมมอง Trend และเขียนวิเคราะห์ลงไปในหนังสือ เล่มแรกของผม "หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" (แค่ชื่อก็ยาวที่สุดแล้ว อิ อิ) ..ผมมองว่า หุ้นไทยในที่สุดจะเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง (หรือยุค Asian Miracle 2) แต่หลายๆคนบอกผมว่า คุณแพ้ท ผมว่า "คุณมันบ้า"

(แต่ๆ) สิ่งผมพูดว่า ตลาดจะ Boom มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยมิติเดียว "หลายคนคิดว่าถ้าตลาดขึ้น แสดงว่าตลาดเหมือนเดิม -- No No !!ไม่ใช่เลย" การเกิดของ Asian Miracle มันหมายถึง การที่ตลาดเิริ่มบูม ทำให้บริษัทดีๆอยากเข้ามา IPO ในตลาดมากขึ้น เป็นการเพิ่ม Supply คุณภาพ (ซึ่ีงเป็นทางเลือกที่ดี ให้กับทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ) และนั้นก็คือการเกิดขึ้นของ Asian Miracle 2 นั่นเองครับ

(กลับมาที่กราฟ) คุณดูสัญญาณ Technical (เดือน June 2003 ---เส้น Blue ตัด Red และสัญญาณ RSI วิ่งกลับมาอย่างมีนัย ..สรุปใครกระโดดเข้าที่ประมาณ 850 ก็ไปขายอีกทีตอนมีสัญญาณขาย นุ่นที่ 1500 จุด--- เฮ้ย!!หลายคนมองกราฟแล้วถามว่า ทำไมไม่ออกตอน 1800 จุด "ขอตอบว่า อย่าโลภ ออกตามสัญญาณ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณแน่" ...อ่า ฮ้า ไม่แน่ คุณอาจจะแน่กว่า มนุษย์คนใดๆในโลกก็ได้ (คุณคิดว่ายังไงกันครับนี่ งง)

เอาเป็นว่า "ค่อยๆรวย รวยช้าๆ แต่มั่นคง ..ถึงจะรักษาความรวยได้ยาวนาน"ครับ...อิ อิ

เรียนรู้ Technical จากอดีต (ตอนที่หนึ่ง)


"Monkey Trade" หยิบเอา ช่วงเวลา 1992 - 1993 (ช่วง Bullish ในครั้งนั้นมาให้ดู) ..ช่วงนั้นเป็นจุดกำเนิดของ Asian Miracle 1 ซึ่งในยุคนั้น เอเชียถือได้ว่าเป็นตลาดที่ ดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลก เหมือนอย่างที่จีนและอินเดียเป็นอยู่ในขณะนี้

(จากกราฟ) เกริ่นก่อนว่า "Monkey Trade" เราจะใช้เส้น Moving Average 3 เส้น (Blue "ค่าเฉลี่ยสั้นคือประมาณ 2 week" / Red "ค่าเฉลี่ยกลาง คือประมาณ 1 month" /gold "ค่าเฉลี่ยยาว คือประมาณ 3 month") .. โดยปกติการดู Moving Average แต่ละคนจะใช้ไม่เหมือนกัน -- อันนี้แล้วแต่ชอบ ใครชอบเร็วชอบช้า แต่เผอิญเราชาว "Monkey Trade" ยึดหลัก ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ..ว่าไปนั้น!!

โดยปกติถ้าหุ้นอยู่ใน "ขาขึ้น" เส้นสั้นจะอยู่บน เพราะตลาดขึ้นค่าเฉลี่ย Moving Average ยิ่งเร็วก็จะรับสัญญาณได้ก่อน ดังนั้น ขาขึ้นจะเรียงลำดับเส้นคือ (Blue/Red/Gold)
ในส่วน "ขาลง" ก็จะกลับข้างกัน เส้น Moving Average ก็จะเรียง (Gold/Red/Blue)...เอ๋อ!!แล้วประเด็นคืออะไร

คือตอนนี้เดือนสิงหาปี 2010 เส้น Moving Average วิ่งเรียงแสดงตัวขาขึ้นอย่างชัดเจน (ทำให้เพื่อนๆหลายๆคน มาถามผมว่า ...แล้วอย่างนี้ตลาดจะวิ่งต่อหรือไม่ --คำตอบของผมคือ "จะไปรู้ได้ไง ..อิ อิ") แต่เอาเป็นว่า คำถามนั้นถึงทำให้ผมเอา (กราฟนี้ SET ปี 1992 -1993 มาให้ดูครับ)

(จากกราฟ) ช่วง November เส้น Blue พลิก Trend ตัด Red (เป็นสัญญาณแสดงการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับค่า RSI ดีดตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ)..จุดนี้ถ้าใครเข้าที่ประมาณ SET 660 ก็จะไปมีสัญญาณออกอีกทีที่ SET 810 "เป็นผลตอบแทน 4 เดือนที่ไม่เลวทีเดียว" จากนั้นก็มีอีกรอบให้เล่น --- "มันส์จริงๆ"

คือในมุมของ Technical มันเป็นการเล่นรอบ ตามสัญญาณราคา ที่น่าสนใจ ..ไม่ได้จะบอกว่าแจ๋วสุดยอด เพียงแต่มันมี Trend ค่อนข้างชัดเจน "เพราะอย่างน้อยหากเราคิดดีๆ คนที่ซื้อขายในตลาดย่อมมีความรู้ในจุดๆหนึ่ง ...ซึ่งความรู้ของแต่ละคนในจุดนั้นๆ ก็จะเป็นตัวสะท้อนการซื้อขายของแต่ละคน ซึ่งท้ายสุดก็จะออกมาเป็น "สัญญาณการซื้อขายและราคาของหุ้นนั่นเอง"

ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวใด อยู่ดีๆราคาลด ก็แสดงว่า "มีใคร รู้อะไร ..แล้วมันรู้อะไรวะ!!..เอ๋อ!!ช่างมัน -- เอาเป็นว่าถ้ามีหลายๆคนรู้ ที่เราไม่รู้ แล้วมันขายทิ้งหุ้น ตัวนั้นๆ.. ราคามันก็จะตก -- คำถามคือ คุณจะทำอย่างไรล่ะ!!

(ประเด็นนี้มันขึ้นอยู่กับคุณเป็นใคร หากคุณคิดว่าคุณรู้ข้อมูลมากกว่าตลาด คุณก็ควรแปลงกลายเป็น Value Investor แล้วเข้าโกยซื้อหุ้นนั้นๆ ...แต่ในอีกมุมหากคุณ รู้ข้อมูลน้อยตลาด คุณก็ควรขายหุ้นตัวนั้นทิ้งตามสัญญาณราคาที่ Technical บอกคุณ) ..."จะใช้วิธีไหน ก็อยู่ที่สถานการณ์ของคุณในขณะนั้นนั่นเองครับ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Technical เหมาะจะใช้กับอะไร จึงจะดีที่สุด (ตอนที่ 1)



การใช้ Technical จริงๆแล้วอยู่ที่เราถนัดว่า เราจะใช้ Program อะไร ซึ่งมีให้เราเลือกมากมาย (จน งง) ..อย่าง(ภาพตัวอย่าง)ก็คือ Metastock ที่ใส่สูตรตั้งระบบเอาไว้ (ตามระบบของลุงโฉลก.."ระบบเขียว-แดง"(ไว้ค่อยมาคุยกันในรายละเอียดกันต่อไป))

จริงๆแล้วระบบที่ลุงโฉลกใช้ เป็นระบบที่น่าสนใจมาก "เพราะคุณต้องสามารถ ตัดความโลภได้ (เพราะคุณต้องเจอทั้งได้กำไรและเสียเงินอยู่ตลอดเวลา)..แต่เวลากำไรจะกำไรค่อนข้างเยอะ ส่วนเวลาเสียก็ค่อนข้างบ่อยพอๆกัน แต่จะเสียครั้งละน้อยๆ" (ระบบนี้จริงๆ ก็คือลุงโฉลก เขียนโปรแกรมขึ้นมาช่วยดูสัญญาณ Technical อย่างเสี่ยงน้อย และไม่โลภ!! "คือให้พอมีค่าขนมใช้..ว่างั้น" (ซึ่งเขียนไม่ง่ายนะครับ..คนที่ใช้สบาย แต่คุณลุงเหงื่อแตก!!)..ดังนั้น โปรแกรมระบบ ก็จะเข้าไปช่วยบอกสัญญาณซื้อและสัญญาณขาย

อย่างที่บอกน่ะครับ ว่า "คุณต้องตัดความโลภได้"(คือลุงโฉลก แกสร้างระบบนี้ขึ้นมา เพื่อสอน ธรรมะเรา(แฝงไปด้วย) เพราะมันได้และเสียพอๆกัน เพียงแต่เวลาได้จะได้เยอะกว่าหน่อย "บวกลบแล้วก็ได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี (คนทั่วไปจนถึงขั้นมืออาชีพ ส่วนใหญ่แพ้ตลาด ดังนั้นถ้าเฉลี่ยคุณชนะ แสดงว่าแค่นี้ก็สุดยอดแล้ว)"..แต่ปัญหาคือ ความโลภ เพราะโดยมากเวลาหุ้นขึ้น เราก็นึกว่าหุ้นจะขึ้นต่อ (ในบางครั้งแม้ว่ามีสัญญาณขายที่ชัดเจนแล้ว ก็ยังไม่ยอมขาย นั่นคือโลภ "เลยเสียในที่สุด")

ดังนั้น คนเล่นหุ้นที่ดี ..ลุงโฉลกต้องการให้เรารู้ว่า "หุ้นต้องมีได้และมีเสีย หากเราเล่นอย่างไม่โลภคุณต้องรับระบบได้ (คือ คุณจะได้และเสียอยู่ตลอดเวลา) และอีกข้อคือ ถ้าคุณเชื่อระบบ แสดงว่า คุณยอมตัดเงินก้อนนี้ไปได้ (เพราะคนที่เล่นกับตลาดไม่ใช่คุณ แต่เป็นระบบ ดังนั้น เป็นไปได้ที่บางครั้งระบบอาจผิดพลาด(คุณต้องเข้าใจ อย่างนึงว่า ไม่มีอะไรที่ Perfect และสิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ "ความไม่แน่นอน" ) ---และนี่คือจุดที่ ทำให้คุณเสียเงินได้!!)..อะไรคือประเด็น!!

"คำถามคือคุณรับได้ไหม(เสียเงินได้ไหม)" -- ถ้าคุณตอบว่า"ไม่ได้(เสียเงินไม่ได้) "บอกได้เลยว่า--(ไอ้เล่นหุ้นแบบเสียไม่ได้ "มันหมดตูดทุกคน" เพราะมัน ผิดหลักการการเล่นหุ้น!! "ผิดธรรมชาติ")..คุณควรจะปิดบัญชีแล้วเดินไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลแทน")..เพราะถ้าพันธบัตรเจ๊งก็ต้องตัวใครตัวมันล่ะครับ (แต่!!)!!--ในสภาวะรัฐบาลและธนาคารทั่วโลกห่วย!! ทุกสถาบันก็ล้วนมีความไม่แน่นอน (เงินฝากในอนาคตก็ไม่รับประกัน)
สรุปแล้วประเด็นที่จะพูดคือ "ไม่ว่าคุณจะเล่นหุ้น หรือไม่เล่น คุณก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น ..ตราบเท่าที่คุณยังถือเงินอยู่" และความเสี่ยงที่ว่า ก็คือ inflation

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเรา Trade หุ้นด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนมีความเสี่ยง หรือแม้แต่เอาเงินฝากธนาคารไว้เฉยๆ คุณก็เสี่ยงเงินลดมูลค่าจาก inflation (เพราะตั้งแต่อเมริกา เลิกอิงค่าเงินกับทองเมื่อ สามสิบปีที่แล้ว มูลค่าเงินลดค่าไปกว่า 90%แล้ว - ดังนั้นจะทำอะไรมันก็เสี่ยงทั้งนั้น..(ความเสี่ยงจริงๆ ก็คือ "เงิน" คุณเข้าใจที่ผมพูดไหมเนี่ย..อย่า "งง" )

ทางแก้ก็คือ คุณต้องเข้าใจ หลักธรรมบ้าง จึงจะสามารถอยู่รอดได้ในสังคม ที่มีภาวะการเงินที่บ้าคลั่งอย่างในปัจจุบัน ..สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ "คุณต้องไม่ยึดมั่นในสิ่งที่มี แล้วคุณจะไม่เสียมัน" (พูดแล้วหลายคน งง แต่มันคือ สัจธรรม) ..เงินจริงๆมันก็เหมือนปลา คุณกำ มันแน่นไป มันก็ตาย ..วิธีการให้มันโต คุณต้องใช้มันทำงาน ให้มันแพร่พันธ์ ไม่ใช่คุณมีปลาอยู่ตัวนึง คุณค่อยๆตัดเนื้อมันกินทีละนิด กำมันซะแน่น ไม่นานมันก็ตาย (ก็เหมือนเงินคุณ คุณเล่นฝากอยู่กับธนาคาร ซื้อแต่พันธบัตร ไม่เคยทำให้มันโต แล้วก็ค่อยๆถอนมาใช้..สุดท้ายมันก็--"ตาย!!"... หมดตูด อิ อิ)

ความเสี่ยงทางการเงินในโลกปัจจุบัน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ ..คุณต้องดูสังคมรอบข้าง ปัจจุบันอเมริกาสร้างเงินจนล้นระบบ แล้วเอามาซื้อของจากคนทั่วโลก แต่ประเทศเขา "เงินหาง่าย"--ส่วนประเทศเรา "เงินหายาก" (มันปล้นกันทางอ้อมใช่ไหม ..คุณเพิ่งรู้เหรอครับ!! มันทำมาหลายสิบปีแล้ว) ของไม่จำเป็นของมัน "แพง" ส่วนของจำเป็นอย่างข้าวปลาอาหาร "ถูก"-- "ผมถามหน่อยใครกำหนด" ..ราคามันภาพลวงทั้งนั้น!!

ต่อจากนี้ เมื่อทุกคนตาสว่างขึ้น คนทั่วโลกจะวิ่งเข้าหา "ของจริง" ไม่ใช่วิ่งหา "ของปลอมอย่างในอดีต" ...ของจริง คือ สิ่งที่จำเป็น เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของข้าวยากหมากแพงของจริง !!--- บริษัททั่วโลก จะต้องเจ๊งกันระนาว ..Asset ต่างๆอย่าง Commodity จากที่เคย "ถูก" มาตลอด (เพราะโดนกดราคาไว้) ..จากนี้โลกร้อน เกิดภัยธรรมชาติทั่วโลก "มันเกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่คุณจะต้องหาก็คือ Asset ที่มันเป็นของจริงไง"

กลับมาที่การลงทุนในหุ้น (หากคุณอยากได้ ก็คือ คุณจะต้องเสียได้) -- "การตกปลาต้องใช้เหยื่อ" คุณต้องเสียเหยื่อ คุณถึงจะได้ปลา เครื่องมือที่ใช้ตกเหยื่อของอเมริกา ก็คือ ( Derivatives ต่างๆ + เงิน )--(จ่ายน้อย พนันเยอะ เขาเรียก leverage สูง) ขนาดสถาบันการเงินของอเมริกาอย่าง Lehman Brother ยังโดนหลอกเองเลย ..นี่แหละเครื่องมือหาเหยื่อทางการเงิน ใช้คำว่า Financial Innovation หลอกให้ งง จริงๆก็คือ "เครื่องมือตกทอง(เงิน)นั่นแหละ" ...ทางแก้ไม่ใช่หนี แต่คุณต้องศึกษามัน

ดังนั้น มองเงิน ที่คุณมี คุณต้องมองใหม่ (ในเมื่อยังไง มันต้องลดค่ามหาศาล ..ผมว่าคุณไม่มีทางเลือก)อย่างแรก คุณต้องลงทุน และคุณก็ต้องมองว่า "มันเสียได้ (เงินมันของนอกกาย ไม่ตายคุณก็หาใหม่ได้ อย่าไปกลัว .. คนส่วนใหญ่ พอมีเงินหน่อย กลัวเสีย "ยิ่งกลัวก็สิ่งเสีย" สุดท้ายก็จนอยู่ดี -- สุดท้ายถ้าคุณไม่อยากจน "คุณจะจน" ..ถ้าไม่กลัวจนคุณจะไม่จน!!)" ต่อมา คุณต้องเข้าใจเครื่องมือทางการเงินต่างๆ และวิธีการลงทุนในแบบต่างๆ

คร่าวๆก็คือ
วิธีแรก แบบลงทุนยาว พวกนี้คือลงทุนที่มุ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ ในเมืองไทยแทบไม่มีใครทำได้ และบริษัทก็ไม่ค่อยมีหุ้นแบบที่จะโตในระยะยาวได้ ...ที่พอไหวผมก็เห็น SCC กับ PTT ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (ดูที่ P/BV Growth ว่ามันโตเท่าไหร่) วิธีนี้ต้องมั่นใจไร้สติ ในหุ้นที่มั่นคงแบบสุดโต่ง (มั่นใจสุดขีด + กิจการสุดมั่นคง) นี่คือหลักการของสำนัก Value Investor

วิธีที่สอง คือ การ Trade ซื้อขายตามจังหวะของ Technical (แบบนี้ต้องมีระบบ "จริงๆระบบไม่ใช่มีแค่ของลุงโฉลก คุณจะใช้ของใครก็ได้" แต่หลักการเดียวกัน คือ ถ้าคุณเล่น Technical คุณต้องมีวินัย ถ้าคุณไม่ใช้ระบบ ตัวคุณเองต้องเป็น "ระบบ" แทน ดังนั้นคุณเองจะต้อง Cut Lost เป็น ...ถ้า"ไม่เป็น"คุณไปเล่นวิธีแรก

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ท้ายสุดก็มีโอกาส "ทั้งได้ และเสีย" คุณหนีข้อนี้ไม่ได้ ดังนั้น "ต้องเข้าใจ" อย่าไปหลงกับภาพลวงต่างๆ ทุกอย่างขึ้นลงเป็น Cycle ของมัน ..อย่างเงินถ้ามองอย่างเข้าใจ ในมุมเศรษฐศาสตร์ จะรู้เลยว่า จริงๆแล้วเงินก็คือ Commodity ตัวนึง ที่ขึ้นลงตาม Demand & Supply อย่างปัจจุบันที่ค่าเงินลดมูลค่าไปมากๆ ก็เพราะอเมริกาสร้าง Supply พิมพ์เงินอย่างไม่จำกัด และดอลล่าห์เป็นทุนสำรองของโลก และเงินที่หมุนเวียน ..ยังไงคือมันกระทบทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม.. (ทุกๆเงินใหม่ที่เพิ่ม ก็คือการไปลดมูลค่าเงินเดิม)

ท้ายสุดคุณหนีไม่พ้น "ของจริง" ..การที่เราจะสามารถรักษามูลค่าหรือสถานะความเป็นอยู่ของเราได้ เราต้องเข้าใจกลไกของ มูลค่าใน Asset & Commodity แล้วก็โยกเงินของเราไปใส่ใน แต่ละ Commodity ในช่วงที่ Commodity นั้นๆ ราคาถูก แล้วก็ขายตอนที่ Commodity นั้นๆ ราคาแพง "อย่าไปยึดติด กับเงิน ทอง หุ้น ที่ดิน พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุน" ให้มองทุกอย่างเป็น Commodity แล้วโยกเงินสวนทางกับความโง่ของเงิน!! ("ความโง่ของเงินคือ มันไหลเข้าหาที่สูง ดังนั้น เจ้าของเงินมักโง่กว่าเงินอีก คือ คุณซื้อแพงตลอด") ..ถ้าคุณฉลาด คุณต้องมองเงินคุณเหมือนน้ำ แล้ววิ่งเข้าสู่ Commodity อันใดก็ได้ ที่ราคาต่ำ จากนั้นก็ขายในราคาสูง แล้วก็เปลี่ยนหมุนไปตาม Cycle

เพราะไม่มี Commodity ตัวใดที่ไม่มี Cycle (และต้องไม่ลืมว่า Commodity ที่ห่วยที่สุดในภาวะปัจจุบัน "คือเงิน" เงินเป็นเพียงตัวเปลี่ยนสถานะ ทาง Commodity เท่านั้น ...ดังนั้นเมื่อใดที่คุณถือเงินไว้มากๆ ผมว่าคุณกำลังฆ่าตัวตาย เพราะเงินคือ Commodity ที่ลดค่าเร็วที่สุดใน Commodity ทั้งหมดในโลก) ...ระวังให้ดี!!

ปล ฺ เขียนเองก็สยองเอง ตอนนี้ผมไปศึกษาค้นคว้าต่อ แล้วจะค่อยๆมาเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ควรอยู่ใน Commodity ตัวไหนดี !!

ภาพใหญ่ของ Commodity ตัวต่างๆ

Port จำลอง ( "Trader ลึกลับ หยง" & "Investor หมัดเมา Pat")

Port จำลอง ( "Trader ลึกลับ หยง" & "Investor หมัดเมา Pat")
นี่เป็น Port ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทดลอง ความสามารถในการ Trade ทำกำไรจากตลาด Commodity (น้ำตาล No.11) ซึ่งแน่นอนเป็นการวัด Performance ในระยะยาว ซึ่งเราจะ Update มาใน Link ให้ดูเรื่อยๆครับ

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย 20 ปี "แห่ง Roller Coaster!!"