"ฟรีด้อมเทรดเดอร์"

"ฟรีด้อมเทรดเดอร์"
"การเดินทางของ Commodity Trader กาแฟสักแก้ว และก็กางเกงใน -- สำหรับโกยเงิน และสร้างความนิ่ง"

คุยกับเราใน Facebook (คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกัน สำหรับคนที่มี Facebook)

คุยกับเราใน Facebook (คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกัน สำหรับคนที่มี Facebook)
เป็นเพื่อนกัน (click เลย)... "เข้าสู่โลกของ Monkey Trade กันคร้าบ!!"

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดไม่ลับ กับการหา Support-Resistance อย่างง่ายๆ บน Chart
รองจาก ENERG ในตลาด SET นั้น BANK sector ก็เป็นหมวดที่มีขนาดรองลงมา และมีผลต่อ Index มากพอสมควร. วันนี้วันดี มีเวลาว่าง เรามา Refresh concept หลักเรื่องนี้กัน แนวรับ-แนวต้าน (Support-Resistance) ของ Chart นั้นเป็นเครื่องมือที่ใช้ทั้ง Art & Science ในการลาก ดูเหมือนง่าย แต่ทำจริงไม่หมูอย่างที่คิดครับ. ก่อนเริ่มลากต้องเข้าใจว่า S&R levels พวกนี้ที่มันเป็น "ของจริง" เพราะมันมีผลโดยตรงกับมุมมองของ นลท. ในตลาด หรือเรียกว่ามี Direct psychological effects นั่นเอง. และขอย้ำๆ อย่าไปลากอะไรพิสดารครับ. ใช้เครื่องมือพื้นๆ กับวิธีการง่ายๆ เหมือนวลีฝรั่งว่า KISS = Keep It Simple Stupid ดีสุด เวลาใช้เครื่องมือหรือระบบที่ซับซ้อนมันเท่ห์ดี แต่จะทำให้เราเขวเวลาเทรดจริงครับ.
ใน Time-frame ที่ใหญ่พอ เราจะเป็น Repeatable pattern เเสมอ. และเหมือนกับ BANK sector ใน Monthly chart มองออกไม่ยากเลย เส้นแนวนอน (Horizontal line) สีน้ำเงินเป็นแนวต้านหลัก (Key resistance level) ในขณะที่เส้นสีแดงเป็นแนวรับที่มีนัยยะสำคัญ (Key support level) เมื่อเห็นภาพใหญ่แล้ว เราจึงค่อยบีบ TF ลงมา.
ยิ่งชัดขึ้นไปอีก ว่าแนวรับที่ประมาณ 330 นี้มีนัยยะสำคัญ และก็ตรงกับทฤษฏีว่าเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านไปแล้ว แนวต้านดังกล่าวนั้นก็จะกลายเป็นแนวรับ (Resistance become s support) ตอนนี้สำคัญคือต้องไม่หลุดแนว 330 นี่แหละครับ ถึงจะรักษาภาวะของ Uptrend รอบใหญ่ได้.
เสน่ห์ของ Chart trading อย่างหนึ่งคือ การเดินของราคาที่ดูเหมือนจะสะเปะสะปะ (Random walk) ดูมี Pattern ขึ้นมาทันทีเมื่อมีการตีกรอบให้เห็น ความต่างของผลตอบแทนของ นลท. แต่ละคนนั้นจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการตีความสิ่งที่เห็น และ "ความคม" ที่จะเห็นลักษณะนั้นๆ ในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ในแบบที่อย่างให้เป็น เราเห็น RSI bullish div เกิดขึ้นจริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทิศทางราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเสมอไป. เราต้องดูอาการ "ยืน" ของ Chart ด้วย. หากยังไม่ยืน มันก็คือยังไม่ยืน ในภาพใหญ่ยังไม่น่าไว้ใจครับ. ตลาดทุนไมใช่เรื่องเล่นๆ เข้ามาแบบเล่นๆ มักจะเจ็บตัวกลับไปจริงๆ การพินิจพิเคราะห์ Chart ในภาพใหญ่คือการวางบริบทของมุมมอง (Mental framework) ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราอยู่หน้าเดียวกับทิศทางราคาในภาพใหญ่ หรือกำลังเล่นสวน เทรด Intraday ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าไป "จม" กับ TF เล็กๆ ไม่ว่าจะด้วยสัญญาณจากระบบก็ดี ไม่ว่าจะเป้น Discretionary trade ก็ดี การเทรดปั่นแปะใน 1m, 5m เป็น Day-trade เคลียร์ของในวัน หวังได้ค่าข้าว ค่าขนม มันได้เงิน แต่มันจะไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับเราได้. ในตลาดที่มีทุนหมุนเวียนระดับหมื่นล้านบาทในแต่ละวัน จะเทรดทั้งที ก็หวังให้มันพอซื้อภัตตาคาร, Chef มาปรุงอาหารให้เรากินเลย ได้เรื่องกว่า ในฐานะ นลท. รายย่อย (แต่ไม่ยับ) เราไม่มี Competitive advantage เหมือนกลุ่ม Prop trade ก็อย่าไปทำแบบเขาที่เขาต้อง Day-trade นั่นเพราะมันเป็นนโยบาย การที่เราไป Day-trade ก็เปรียบเหมือนการสร้างนโยบายปิดกั้นโอกาสในการกินกำไรยาวๆ จาก Trend นั่นเอง.
 -Freedom trader-

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


สร้าง "ฝัน" บนฐานของความ "จริง"

คำถามสุด classic ที่ผมเจอในงานอบรมคือ "ซื้อหุ้นตัวไหนดี" เป็นคำถามที่สร้างความกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี หุ้นทุกตัวมันมีจังหวะ "ดี" และจังหวะ "แย่" ของมัน. แนะนำให้ซื้อหุ้นไป ต่อให้หุ้นขึ้นจริงมันก็ขึ้นอยู่กับจังหวะขายอยู่ดี กำไรขาดทุนมันวัดกันตรงนั้น ถ้าถามว่าซื้อหุ้นนี้ช่วงไหนดี ยังพอตอบได้บ้าง.

ทำไม?

ในมุมมองผมนะ เพราะ scope ของคำถามมันผิด งานอบรมของ Millionaire mind club ที่หาดใหญ่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมตั้งคำถามในห้องว่า แต่ละท่านต้องการผลตอบแทนกี่ % ต่อปี บางท่านต้องการแค่ 10% ต่อปี บางท่านบอก 50% บางท่านต้องการ 200% ซึ่งไม่มีใครผิดเลย. หวังเท่าไรมันเป็นสิทธิ์ของเขานิ แต่เมื่อเจอคำถามต่อ ว่าแล้วทำไมถึงต้องการเท่านี้ % ต่อปี มันไม่มีคำตอบที่เป็นรูปธรรม. ปัญหาคือการไม่มีคำตอบ "ให้กับตัวเอง" ที่ชัดเจนนี่แหละ. ไม่ต่างจากการเดินไปเรื่อยๆ โดยปราศจากจุดหมาย ก้าวไปข้างหน้าทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินอีกไกลแค่ไหน หรือนานเท่าไร. มันเริ่มท้อ เริ่มถอดใจนะ

อ้าว! แล้วสรุปมันควรเท่าไรละ? ถ้าตัวเลขที่ให้ไปมันเป็นตัวเลขลอยๆ ผมไม่มีคำตอบหรือสูตรคำนวณที่สมบูรณ์แบบให้หรอกนะครับ. แต่ขออาศัยการยกตัวอย่างง่ายๆ หากผมพูดว่า SCC หรือปูนใหญ่เป็นที่รวมของคนระดับ cream of the crop ในประเทศไทย ก็คงจะไม่ใช่คำพูดที่ผิดนัก เราลองมาดูว่าบุคลากรระดับ top ของประเทศเขา "สร้างผลตอบแทน" กันได้กี่ %

Return of Equity (RoE) เป็นอัตราส่วนทางการเงินแบบง่ายๆ ที่นำ ผลกำไรสุทธิ (Net profit) หารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ตีความแบบชาวบ้านก็คือ % กำไรจากการลงทุนนั่นเอง สำหรับ SCC ค่ากลางๆ ของ RoE จะอยู่ประมาณ 30% นี่คือผลงานของ "ยอดฝีมือ" ของประเทศรวมกันแล้ว. คนที่หวังปีละ 800% ลองคิดใหม่ดู. ผมไม่ได้บอกว่า 800% ต่อปีทำไม่ได้นะ. และถ้าได้จริง ผมก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเราตั้งความคาดหวังบนฐานของความจริง มี Realistic expectation แผนที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายมันก็อยู่บนฐานของความจริง เมื่อแผนอยู่บนฐานของความจริง. ก็มีแนวโน้มที่จะทำได้จริง.

ผลตอบแทนที่ 30% ต่อปีเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผล. ไม่น้อยและไม่เวอร์ สำคัญทำได้จริง.

เมื่อ break down ตัวเลขนี้ยิ่งเห็นว่ามันตั้งอยู่ฐานของความจริง และไม่ทำให้เราท้อใจกับการเทรด หากสามารถวาง Portfolio และ Trading system ที่ให้ตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ/ต่อเนื่องได้
30% ต่อปี ก็คือ 15% ทุกๆ 6 เดือน
15% ใน 6 เดือนคือ 7.5% ต่อไตรมาส
จริงๆ มันจะมีเรื่องของ Compound return เข้ามาด้วยแต่หารให้ดูตรงๆ ง่ายๆ ก่อน.
แปลว่าอะไร หากแต่ละไตรมาสเราจะสร้างผลตอบแทนได้ 7.5-8% ที่เราหวังไว้ที่ 30% ต่อปี ก็ถึงได้ไม่ยาก. ไม่รู้สึกไกลเกินไป.

ขอให้ทุกคนถึงเป้าหมายอย่างมีระบบนะครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

“ฟรีด้อมเทรดเดอร์” ทำอะไรถึงจะรุ่ง (Freedom Trader)

“ทำอะไรจะรุ่ง ..เป็นคำถามที่ถามง่ายแต่ตอบยาก” -- บางคนบอกให้ทำในสิ่งที่ชอบ ใช่ไหม!! …

ใน ยุคก่อน ที่ Demand เยอะๆ แต่ Supply น้อยๆ “ทำอะไรก็รุ่ง” หากใครจำสมัยยุค RS รุ่งเรือง สมัยนั้น ฮ่าฮ่า (ขำ) จะเห็นได้ว่า “เชยโคตร วงการบันเทิง” ประเด็นคือ ใครหน้าตาดี เขาเอามาเป็นนักร้อง เรื่องความสามารถค่อยมาฝึกเอา ---“แต่จุดนี้ถ้าใครสังเกตุการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน มันคนละเรื่องเลย”

ทุก วันนี้ ถ้ามองแค่ธุรกิจบันเทิง ใครอยากจะเป็นนักร้องต้องแข่งกันเข้ามา คือ คุณต้องมีฝูงชน ชื่นชอบก่อน เช่น พวก The Star , AF หรือ เวทีต่างๆ …ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันง่ายต่อคนปั้น “ปล้ำง่าย..เฮ้ยไม่ใช่!! หลุดๆ ๆ .. ปั้นง่าย ต่างหาก” …. “มาให้ป๋าปั้นซิ -- ไม่ค่อยมีแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องผ่าน The Star … จากนั้นป๋าค่อยรอ Step ถัดไป …หุ หุ”

ดังนั้น ถ้าคิดดีๆแล้ว ในเมื่อยุคนี้ คนเก่งมันเยอะขึ้น ในด้านการผลิตสินค้า Supply ก็เริ่มมากกว่า Demand…ดูจีนซิครับ ผลิตอะไรก็สุดจะ Mass ราคาต่อชิ้นก็สุดถูก ประเด็น มันคือ เมื่อตัวเลือกมันเยอะมากๆ --การที่คุณจะโดดเด่นในส่ิงใด นั่นหมายความว่า คุณต้องเจ๋งสุดๆ จริงไหม!!

บอก ตรงๆกว่าผมจะเข้าใจประเด็นนี้ ผมโยนทิ้งไปแล้ว 20 ล้านบาทเป็นค่าโง่ คือตอนขยายกิจการร้านอาหารในออสเตรเลีย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมรัก หรือ สิ่งที่ผมถนัดแต่อย่างใด มันเป็นเพียงช่องว่างที่ผมเห็นว่า “อาหารไทย” มันสามารถโตระดับโลกได้ ..แต่สุดท้ายผมก็คิดผิด เพราะโอกาสจริงๆมันไม่ได้สำคัญที่สุด …การที่เรามองเห็นโอกาส ก็ใช่ว่าคนอื่นเขาจะไม่เห็น ดังนั้น การที่ผมกระโดดเข้าไปในโอกาส โดยที่ผมไม่มี ความเชี่ยวชาญอย่างโดดเด่น --- ในที่สุดมันก็ไปไม่รอด!!

หลัง จากนั้น ผมกระโดดเข้าไปในกิจการกระจก ซึ่งผมก็ไม่มีความชำนาญอีกเช่นเคย -- สรุป ทั้งหมดคือ ค่าโง่!! “โง่ที่ไม่เชื่อว่า ความสำเร็จต้องเกิดจากสิ่งที่เรารัก และชำนาญต่างหาก” ..หลายคนบอกว่า “ผมยังหาไม่ได้” …ผมก็บอกได้เลยว่า ตราบใดที่คุณยังหาไม่ได้ “คุณก็ไม่มีทางสำเร็จ..ฟันธง!! ..อ้าว เฮ้ย ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ”

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ “จะทำอย่างไรเราถึงจะหาเจอว่า เราชอบและชำนาญอะไรล่ะ” คำตอบก็คือ “คุณก็หาให้เจอซิครับ”

การ หามันต้องเกิดจากการสังเกตุ ว่าเราทำอะไรแล้ว “มันดี” ถ้าทำแล้วมันดี แถม “คุณชอบ” มันก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นๆ หากคุณมุ่งมั่นที่จะทำมัน ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ ….ใช่แล้ว!! ผมพูดอย่างนี้ อาจกระทบจิตใจใครหลายๆคนว่า เอ๊ะ!! เรามาทำงานทุกเช้า โคตรจะไม่อยากมาทำงานเลย ..ยิ่งวันไหนวันหยุดน่ะ โห!! แม่เจ้า ดีใจสุดขั้ว .. “ก็นี่แหละงานผม ทำเพื่อมีเงินเดือนมากิน รอเพียงวันหยุด” --- เห็นไหมล่ะครับว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกเช่นนี้ กับงานที่ตัวเองทำ มันจึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ ไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ “ก็เพราะเขาไม่ได้รักในสิ่งที่ทำ และไม่ชำนาญ”

“ลาออกซิ!!” อิ อิ เฮ้ย !! ไม่ใช่ จะบ้าหรือ …ถ้าใครอ่านบทความนี้เสร็จแล้วอยากลาออก ก็บ้าเต็มทีแล้ว เพราะมันผิด Step คือ ก่อนอื่น “มันต้องหาให้เจอก่อนว่า คุณชำนาญและชอบในเรื่องอะไร จากนั้นต้องมาดูว่าสิ่งที่คุณชอบนั้น มันสามารถทำเงินได้ไหม …ส่วนใหญ่ผมบอกได้เลยว่า สิ่งที่คุณชำนาญและชอบ มักเป็นสิ่งที่ไม่ทำเงิน ฮ่า ฮ่า”

คุณรู้ไหมสิ่งที่ เศรษฐีของโลกที่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักในตอนแรก มันก็ไม่ได้ทำเงิน …สมัยที่ Tiger Woods เล่นกอล์ฟหลังเลิกเรียนช้อมอย่างหนักเป็นเวลานับสิบปี ก็ไม่ได้ทำเงินแต่อย่างใด ..มันค่อยมาทำเงินทีหลัง ประเด็นก็คือ Tiger Woods รักในสิ่งที่ทำ เพราะทำได้ดี และ Keep going เขาจึงรวยเป็นพันล้านอย่างวันนี้ “เริ่มจากสิ่งที่รัก”

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ชอบเล่นคอมเป็นชีวิตจิตใจ เขาใช้เวลาเป็นสิบปี ฝึกฝนเล่นคอม เขียนโปรแกรม จริงๆเขาก็ไม่ต่างจาก Bill Gates , Sergey Brin , Larry Page เท่าไหร่ ที่ทุ่มชีวิตให้กับสิ่งบ้าๆ อย่าง คอมพิวเตอร์ จนเกิดความชำนาญ และในที่สุดหลังจากนั้นเป็นสิบปี จึงมี Microsoft มี Facebook มี Google …ทั้งหมด เร่ิมจาก “รักในสิ่งที่ทำ แถมทำอย่างไม่ได้อะไรเลยเป็นสิบปี ก่อนที่ “ไอ้ไม่ได้อะไรเลย” จะสร้างเงินให้เขารวยระดับโลก”

แถมไปอีก คน J K Rowing นักเขียนนิยายเพ้อฝันไส้แส้ง ลูกติด กินเงินประกันสังคมจากรัฐบาล ประทังชีพ อย่างตกอับ แต่ก็เขียนไอ้นิยายเพ้อฝัน พ่อมดบ้าบอ เป็นสิบปี ก่อนที่ไอ้นิยายพ่อมด บ้าบอ จะกลายมาเป็น Harry Potter และสร้างให้ J K Rowing กลายเป็น เศรษฐีพันล้านคนแรกของโลกที่สร้างตัวจากอาชีพนักเขียน “อันนี้ก็เกิดไม่ได้เลย หาก J K Rowing ไม่ยอมเป็นนักเขียนไส้แห้ง และ Keep on เขียนนิยายเพ้อฝัน ที่ตนเองรักเป็นเวลานับสิบปี ก่อนที่ สิ่งนั้นจะเริ่มทำเงินให้เขามหาศาล”

หากเทียบกราฟความสำเร็จของคนที่ มั่งคั่งจากสิ่งที่รัก มันคงเป็น “กราฟเรียบๆกระดกตูด--แบบตูดเป็ด” ก็เพราะช่วงแรก มันไม่ได้อะไรเลย ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้รักในสิ่งที่ทำ “คุณเลิกทำไปตั้งนานแล้ว”

ผมเฝ้าสังเกตุ ระยะเวลา อย่างน้อยที่คนเหล่านี้ “ทำสิ่งนั้นโดยไม่เห็นอะไรเลย” น่าจะประมาณ สิบปีเป็นอย่างน้อย ..ดังนั้น วันนี้ถ้าใครมาบอกผมว่า ลงทุน เล่นหุ้น หรือ ทำอะไรก็ตาม ..ถ้ายังทำไม่ถึงสิบปี ..ผมบอกได้เลย ว่ามันยังวัดไม่ได้ !! (สิบปี ไม่มีอะไรเลย โหด โคตร …ดังนั้น อยากสำเร็จมากๆ มันยิ่งยาก เพราะน้อยคนในโลก กล้าที่จะทำในสิ่งที่ สิบปี ไม่เห็นอะไรเลย… แปลกแต่จริง!!)

บ้านเรา “เมืองไทย” เหนื่อยหน่อย เพราะคุณมีสังคมรอบด้าน เพื่อนบ้าน พี่น้อง ญาติ คอยใส่ไฟคุณอยู่ “เฮ้ย!! ลูกเอ๊งวันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย ใส่แต่ชุดนอน นั่งอยู่หน้าคอม พอว่างๆ ก็นั่งสมาธิ ..มันเพื้ยนหรือเปล่า” ..แต่หารู้ไม่คนที่หลายคนนึกว่าเพื้ยนนั้น คือ Freedom Trader (เทรดเดอร์อิสระ ที่ทำเงินในชุดนอน)!!

แหม!! เล่ามาซะยาว ก็จะโฆษณา หนังสือ “ฟรีด้อมเทรดเดอร์” อาชีพอิสระที่สามารถทำเงินในชุดนอน ..ฮ่า ฮ่า เป็นผลงาน ร่วมสร้างระหว่าง "Trader ลึกลับ" กับ ภาววิทย์ ฺนายธนาคาร & นักเขียน ไส้แห้ง ที่มีความหวังจะเผยแพร่ ความรู้ในด้านการ Trade และ Hedging ให้ทุกคนรู้ว่า “ความมั่งคั่ง ในโลกยุคต่อไป มันไม่ได้อยู่ในมือเจ้านายหรือใครก็ตาม แต่มันอยู่ในมือคุณ”

…นี่แหละหนังสือที่คนรุ่นใหม่ทุกคนต้องอ่าน !! “วางแผงทั่วประเทศ ณ บัด Now -- ที่ SE-ED ทุกสาขา”

(คลิ๊กดู รายละเอียดหนังสือ ได้ที่ภาพ... พ... พ... พ........อิ อิ)



ภาพใหญ่ของ Commodity ตัวต่างๆ

Port จำลอง ( "Trader ลึกลับ หยง" & "Investor หมัดเมา Pat")

Port จำลอง ( "Trader ลึกลับ หยง" & "Investor หมัดเมา Pat")
นี่เป็น Port ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทดลอง ความสามารถในการ Trade ทำกำไรจากตลาด Commodity (น้ำตาล No.11) ซึ่งแน่นอนเป็นการวัด Performance ในระยะยาว ซึ่งเราจะ Update มาใน Link ให้ดูเรื่อยๆครับ

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย 20 ปี "แห่ง Roller Coaster!!"