วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553
คุยกับ "ป๋าหยง" โดย "ภาววิทย์" ตอนที่ 4 (หาจุดสุดยอด"โอ้ว!!"ให้เจอ)
ป๋าหยง : "หาจุดสูงสุดให้เจอ ...เฮอะ ๆ ๆ" (ผมไม่ได้ฝันใช่ไหมนี่...บ้าหรือ!! มันไม่มีครับ!!) แค่คำถามที่ผมตั้งเอง ก็ตอบเองเลยว่า ใครจะไปรู้จุดสูงสุด !!
ภาววิทย์ : เอ๋อ!! สรุปงั้นเราปิดประเด็นเลย ใช่ไหมป๋า "ประกาศ ไม้ตายป๋าหยง หาจุดสูงสุด คืนสู่สามัญ สรุปว่า "ไม่มี" ฮ่า ฮ่า ฮ่า (การสนทนานี้ช่างสั้นจริงๆ)
ป๋าหยง : เฮ้ย++ เดี๋ยวๆๆ"ผมยังพูดไม่จบเลย" คือที่เปิดประเด็นขึ้นมาเพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่า การหาจุดสูงสุดแบบเป๊ะๆ มันไม่มีหรอก เพราะคุณคาดการณ์อนาคต แต่ผมไม่ได้บอกว่า เราไม่สามารถหาจุดนั้นได้ "(ทำได้)แถมค่อนข้างแม่นด้วย"
ภาววิทย์ : "จริงหรือ ป๋าหยง -- เราสามารถหาจุดสูงสุดได้จริงๆ หรือ ..ทำไงล่ะ!!"
ป๋าหยง : เอ้า!! ดูที่กราฟ
นี่เอาตัวอย่างง่ายๆ กับการใช้ Indicator ง่ายๆอย่าง RSI มาช่วยดู ...RSI ดูอะไร "ก็ดู Momentum" ดูรอบของมัน ..อย่างที่เรารู้ๆกันว่า Price Move in Trend "ก็คือหุ้นมันขึ้น หรือลง มันก็จะเคลื่อนไปเป็น Trend ..ดังนั้น ถ้าขาขึ้นมันก็จะแสดง Trend ขาขึ้นมาในสัญญาณ Technical"
อย่างในตัวอย่าง เราก็ยึด Peak & Trough เป็นกรอบให้เห็น Trend ..อย่างช่วงขาขึ้น หากเราเอาทฤษฎี Dow มาจับตาม ระบบ Peak & Trough เราก็จะดูได้ว่า หาก Trend ยังคงอยู่ในขาขึ้น สัดส่วนในการขึ้น ก็จะขึ้นแบบคลื่น แต่หลักการง่ายๆของ Dow คือ ราคาปิดมันไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้ามอย่างชัดเจน "เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน (เช่น การลงอย่างต่อเนื่อง)นั่นมันหมายถึงสัญญาณของการเปลี่ยน Trend หรือ ขาลงนั่นเอง"
การหาจุดสูงสุด เราจะดู RSI ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของราคาในภาพที่ใหญ่ขึ้น เมื่อสัญญาณของ RSI มันเริ่มอ่อนตัวลง มันก็เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เราสามารถตัดสินใจว่า ควรจะออกหรือไม่ --เพราะโดยมากเมื่อ RSI ขึ้นไป Peak จากนั้นหากมีการย่อตัวลงมา มันก็คือ จุดเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลงนั่นเอง
ภาววิทย์ : มันจริงหรือ!!
ป๋าหยง : "ส่วนใหญ่นะ... แต่ไม่ใช่เสมอไป" อย่างที่ผมบอกว่า Technical เป็นเครื่องช่วยในการศึกษาราคาในอดีตที่อาจจะส่งผลต่ออนาคต มันไม่ใช่เครื่องมือหมอดูที่จะเอามาทำนายอนาคต "คุณเข้าใจไหม"
ภาววิทย์ : งั้นแปลว่า ..การเริ่มยกตัวของ RSI (จากกราฟ) มันบ่งชี้ถึงสัญญาณในการขึ้น จากนั้นเมื่อ RSI เริ่มลงอย่างชัดเจน (จากกราฟ) คุณก็ให้เลือกจุดออกตามความพอใจ ..ดังนั้น ตราบใดที่ RSI ยังอยู่ในระดับสูงๆ ก็ให้ Let Profit Run ไปเรื่อยๆ
ป๋าหยง : "ถูกต้องเลย" ..เสริมอีกนิดว่า ตรงนี้มันเป็นศิลป์ ไม่ใช่ ศาสตร์ ดังนั้นความแม่นยำมันขึ้นกับการฝึกฝนของคุณ
ภาววิทย์ : แล้ว MACD ที่เขานิยมดูกัน เอามาทำอันหยัง ล่ะป๋า!!
ป๋าหยง : อ๋อ!! MACD ดูง่าย ตัวเร็ว ตัดตัวช้า เป็นสัญญาณ "บอกใบ้" -- ตัดลง"ขาย" ตัดขึ้น"ซื้อ" (ง่ายไหมล่ะ) ..ตัว MACD เป็นค่าเฉลี่ยส่วนต่างของราคา ดังนั้น เอาตัว"เร็วกับช้า"มาดูการเปลี่ยนแปลง มันก็ช่วยให้เราเห็น แนวโน้มของราคานั่นเอง!!
ภาววิทย์ : โอเค (ผมเข้าใจแล้ว) หาก MACD "ตัวเร็ว"ตัดลงใส่"ตัวช้า" ก็คือสัญญาณขาย (แต่อย่างในกราฟ เผอิญเราใช้ MACD ที่ค่อนข้างช้ามันก็เลยตัดช้า "ตัดช้าก็หมายถึงการขายที่ช้า ซึ่งบางคนอาจจะบ่นว่า อย่างนี้ก็ติดดอย" ..แต่ประเด็นที่ผมจะชี้ คือ สัญญาณอย่าง MACD ที่เร็วๆ ...จริงอยู่ให้สัญญาณซื้อขายได้เร็ว "แต่บางครั้งมันอาจเร็วจนทำกำไรแทบไม่ได้"
..อย่าง Monkey Trade เราจะเน้นการ Let Profit Run ให้เต็มที่ก่อนขายนั่นเอง (อันนี้ขอแนะนำให้ไปฝึกดู บางคนใช้เส้นเร็วที่ 7 วัน ตัดเส้นช้าที่ 14 วัน ..อันนี้ขอบอกอีกครั้งว่า มันเป็น Art ไปหาเอาเอง)
ป๋าหยง : ฮึม RSI และ MACD ก็สรุปคือมันคือเอา "ราคา" มาตัดไปตัดมา จาก "ราคาภาพแบนๆ" พอเอาราคามาหาส่วนต่างก็เกิด ภาพของแนวโน้มของราคา "สรุปก็คือ ดูราคา สร้างให้เป็น 3 มิติ ใส่จินตนาการณ์เข้าไป" ....ฮ่า ฮ่า นี่แหละ Technical ดูง่าย แต่ลึกๆมันอยู่ที่การฝึกฝนและการมอง "และนี่คือ จุดที่กินกัน!!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น